‘พริมามารีน’ซื้อธุรกิจเรือขนส่ง หนุนกำไรโต-กระจายรายได้
การระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการค้าโลก ทั้งจากดีมานด์ที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งบาดเจ็บหนักจากโรคระบาด ขณะที่มาตรการป้องกันโรคที่เข้มงวดของแต่ละประเทศ ทำให้การเดินทางเข้าออก ขนส่งสินค้าต้องรัดกุมขึ้น ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนเดิม
แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ทำให้บรรยากาศการค้าการขายระหว่างประเทศเริ่มคึกคัก ซึ่งสำหรับประเทศไทยสะท้อนได้จากตัวเลข “นำเข้า-ส่งออก” ที่เร่งตัวขึ้น อัตราการติดลบลดลง ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
โดยการขนส่งทางทะเลเป็นหนึ่งในช่องทางหลักที่ไว้ใช้ขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ซึ่งช่วงนี้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ดัชนีค่าระวางเรือปรับโหมดเข้าสู่ขาขึ้น หนุนราคาหุ้นกลุ่มเดินเรือผงกหัวตามกันขึ้นมา จากจุดต่ำสุดที่ถูกถล่มขายหนักในช่วงปลายเดือน มี.ค. ต่อเนื่องต้นเดือน เม.ย.
ยิ่งในไตรมาสสุดท้ายนี้ ราคายิ่งวิ่งแรงรับไฮซีซั่น แต่สำหรับ บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM กลับดูซึมๆ ไปไหนไม่ได้ไกล ส่วนหนึ่งเพราะอาจขึ้นมาเยอะเมื่อเทียบกับเพื่อนๆ ในกลุ่ม ประกอบกับตัวธุรกิจที่เน้นให้บริการขนส่งน้ำมันดิบและปิโตรเคมีเหลวเป็นหลัก ดีมานด์อาจยังไม่ได้ฟื้นแรงมากเมื่อเทียบกับสินค้าอื่นๆ
แต่บริษัทยังมั่นใจว่าผลประกอบการปีนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่ได้แน่นอน และจะนิวไฮต่อเนื่องในปีหน้า เพราะเมื่อมีวัคซีนออกมาจะยิ่งช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยบริษัทมีแผนที่จะขยายกองเรืออีกไม่น้อยกว่า 5 ลำ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ล่าสุด มีข่าวเข้ามาช่วยดันราคาหุ้น PRM อีกครั้ง หลังทุ่มงบลงทุน 346.50 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดในบริษัท ไทยออยล์มารีน จำกัด ของกลุ่มบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ทำให้บริษัทจะได้รับสิทธิในการให้บริการเรือขนส่งน้ำมันดิบขนาด VLCC แบบมีระยะเวลา (Time Charter) จำนวน 3 ลำ เป็นเวลา 10 ปีนับจากวันที่ส่งมอบเรือ
บริการขนส่งสินค้าโดยเรือขนาดเล็กแบบมีระยะเวลา (Time Charter) จำนวน 1 ลำ เป็นเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่การซื้อขายเสร็จสมบูรณ์ และบริการขนส่งสินค้าโดยเรือขนาดเล็กแบบรายเที่ยว (Contract of Affreightment) จำนวน 2 ลำ เป็นเวลา 5 ปีนับตั้งแต่วันที่การซื้อขายเสร็จสมบูรณ์ รวมทั้ง บริการในการเป็นตัวแทนเรือ (Ship Agent) เป็นเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่การซื้อขายเสร็จสมบูรณ์
ดูแล้วดีลนี้น่าจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับบริษัทไม่น้อยจากปริมาณงานที่จะเพิ่มขึ้นจากกลุ่มไทยออยล์ ช่วยเพิ่มรายได้ในกลุ่มขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศและการขนส่งระหว่างประเทศ ซึ่งจะช่วยกระจายความเสี่ยงจากปัจจุบันที่พึ่งพิงรายได้จากกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บทางทะเล (FSU) มากกว่า 50%
โดยบล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุว่า มีมุมมองบวกจากการที่ PRM เข้าซื้อหุ้นในไทยออยล์มารีน ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากการรับงานใหม่ของกลุ่มไทยออยล์ โดยบริษัทคาดหวังว่าหลังเข้าซื้อธุรกิจแล้ว ไทยออยล์มารีนจะพลิกกลับมามีกำไร จากปี 2562 ที่ขาดทุนอยู่ 45 ล้านบาท ตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นและการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น
ประเมินรายได้จากธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันระหว่างประเทศในปี 2565 จะเพิ่มขึ้นเป็น 25% จากปี 2563 ที่ 3% โดยคาดจะมีกำไรปีละไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทต่อลำ ซึ่งจะมีการรับเรือใหม่ 1 ลำ ในปี 2564 และอีก 2 ลำ ในปี 2565
ฝ่ายวิจัยประเมินกำไรสุทธิปี 2564-2565 ที่ 1.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% และ 1.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น12% ตามลำดับ แต่หากรวมงานใหม่ประเมินว่าจะช่วยเพิ่มกำไรในปี 2564-2565 ได้อีกไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท และ 250 ล้านบาท หรือ คิดเป็นการเพิ่มขึ้นของกำไรปี 2564-2565 อีก 3% และ 13% ตามลำดับ คิดจากสมมติฐานต้นทุนการเช่า/ซื้อเรือ VLCC ที่ราคาปัจจุบัน
ด้านราคาหุ้นที่ปรับตัวลง และ Underperform SET ถึง 23% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เป็นผลมาจากธุรกิจเรือขนส่งภายในประเทศ (Domestic Trading) ที่ฟื้นตัวช้า และการซื้อเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป (FSU) ใหม่ที่ยังไม่แน่นอน
ทั้งนี้ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น PRM จากแนวโน้มกำไรไตรมาส 4 ปี 2563 ที่ยังเติบโตโดดเด่น โดยกำไรยังมีอัพไซด์เพิ่มจากแผนการเข้าซื้อหุ้นไทยออยล์มารีน ซึ่งหากรวมงานใหม่จะทำให้ราคาเป้าหมายใหม่ในปี 2564 อยู่ที่ 12.50 บาท