'เอ็นอีอาร์' โตสวนตลาดซบ ออเดอร์พุ่งปี 64 รายได้2.2 หมื่นล.

'เอ็นอีอาร์' โตสวนตลาดซบ ออเดอร์พุ่งปี 64 รายได้2.2 หมื่นล.

“นอร์ทอีส รับเบอร์” ขานรับ 2 ปัจจัยบวกดันธุรกิจโตไม่สนโควิด-19 ตั้งเป้าปีหน้ารายได้แตะ 2.2 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ 1.7 หมื่นล้านบาท คาดราคายางพาราเฉลี่ย 55 บาทต่อกก. เตรียมจำหน่ายแผ่นรองพื้นในคอกของปศุสัตว์ปี 64 เหตุสินค้ามาร์จินสูง

'ปี 2563 คิดว่าธุรกิจจะแย่แล้ว! หลังโรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์หยุดผลิตหมด จากการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่ในความเป็นจริงธุรกิจกลับพลิกล็อกรับผลบวก 2 เด้ง'   

'ชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์' ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ เล่าให้ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฟังว่า ปี 2563 ผลประกอบการเติบโตสูง เนื่องจากได้ผลบวกจาก 2 ปัจจัย

คือ 1.สถานการณ์ภัยแล้งต่อเนื่องมา 2 ปี (2561-2562) ทั้งในประเทศไทยและอินโดนีเซีย ทำให้ผลผลิตยางพาราในตลาดลดลงประมาณ 10% ประกอบกับในปีนี้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เข้ามาอีก ทำให้ซัพพลายน้ำยางพาราถูกดึงออกไปผลิตถุงมือยางประมาณ 20% จากภาวะปกติธุรกิจถุงมือยางจะใช้ยางพาราระดับ 10% ส่วนที่เหลือจะใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นส่วนใหญ่ แต่ปีนี้กลายเป็นว่าธุรกิจถุงมือยางมีความต้องการ (ดีมานด์) สูงมาก สะท้อนผ่านการเติบโตของธุรกิจผลิตถุงมือยางเพิ่มขึ้น 300-400%

'ปีนี้เป็นปีที่ธุรกิจพลิกล็อกมาก จากตอนแรกเราคิดว่าจะขายสินค้าไม่ได้แล้ว ธุรกิจต้องแย่แน่นอน เพราะว่าโรงงานผลิตยานยนต์หยุดผลิต การซื้อขายไม่เกิดขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าซัพพลายถูกดึงออกจากตลาดด้วยธุรกิจถุงมือยางทำให้ราคายางพาราปรับตัวสูงขึ้น โดยปีนี้ราคายางพาราสูงสุด 80 บาทต่อกิโลกรัม'

2.ความต้องการใช้ยางของประเทศจีนเติบโตสูง ซึ่งจีนถือเป็นผู้ผลิตยางรายใหญ่ของโลก สะท้อนปริมาณยางพาราในโลกคิดเป็น 12 ล้านตันต่อปี แต่จีนบริโภคไปกว่า 6 ล้านตันต่อปี ฉะนั้น เวลาประเทศจีนขยับแต่ละครั้งจะมีผลอย่างมีนัยสำคัญ สอดรับกับยอดขายรถยนต์ในจีน โดยเฉพาะรถยนต์อีโก้คาร์ เพราะว่าชาวจีนหลังจากเกิดโควิด-19 ระบาดทำให้ประชาชนไม่กล้านั่งรถสาธารณะก็มาซื้อรถยนต์อีโก้คาร์ใช้กันจำนวนมาก ทำให้คาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ในจีนปีนี้จะเติบโตประมาณ 10%

160922409394

ชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์

นอกจากนี้ บริษัทได้สัญญาระยะยาวจากลูกค้าใหม่ประเทศอินเดียเพิ่มเข้ามาอีก จำนวน 2 ราย ซึ่งเป็นลูกค้าสัญญาระยะยาว (Long Term Contact) ได้แก่ บริษัทลูกของ Yokohama's Alliance Tire Group (ATG) และ บริษัท CEAT 

โดยไตรมาส 3 ที่ผ่านมา บริษัทมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาเป็น 1.7 แสนตันต่อปี รวมกำลังการผลิต 4.6 แสนตันต่อปี จากเดิมกำลังการผลิตอยู่ที่ 2.9 แสนตันต่อปี ซึ่งกำลังผลิตใหม่ที่เข้ามาบริษัทได้ขายสินค้าล่วงหน้าไปแล้วเกือบทั้งหมด โดยมีราคาที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูงด้วย

อย่างไรก็ตาม ส่งผลให้ไตรมาส 3 ที่ผ่านมา บริษัทมีผลประกอบการณ์เติบโตค่อนข้างมาก จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น จากเดิมไตรมาส 1 และ 2 บริษัทจะขายสินค้าอยู่ประมาณไตรมาสละ 60,000 ตัน แต่ไตรมาส 3 และ 4 ปี 2563 สามารถขายสินค้าไตรมาสละ 100,000 ตัน เนื่องจากกำลังผลิตใหม่ที่เพิ่มเข้ามา

'ปีนี้ถือเป็นปีทอง NER โดยมีหลายปัจจัยบวกทำให้บริษัทมีผลประกอบการปีนี้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และอีกส่วนคือราคายางพาราที่เพิ่มขึ้นทำให้เราขายของและสามารถบวกมาร์จิ้นได้เพิ่มขึ้น และกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา'    

เขา บอกต่อว่า สำหรับแผนธุรกิจปี 2564 ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 22,000 ล้านบาท จากปีนี้คาดรายได้ 17,000 ล้านบาท คิดจากราคายางพาราเฉลี่ย 55 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนปริมาณการขายคาดว่าจะสามารถทำยอดขายยางพาราอยู่ที่ 410,000 ตัน เติบโต 14% จากปีนี้ปริมาณการขายคาดว่าจะอยู่ที่ 360,000 ตัน โดยมองว่าความต้องการใช้ยางในอุตสาหกรรมยังดีต่อเนื่องซึ่งปัจจัยหนุนหลายด้าน

รวมทั้งทิศทางและสถานการณ์โควิด-19 ยังไม่จบง่ายๆ ดังนั้น มองว่าซัพพลายยางพารายังจะถูกธุรกิจผลิตถุงมือยางดึงออกไปใช้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งซัพพลายที่หายออกไปจากตลาด กว่าจะหามาทดแทนได้ต้องใช้เวลาอีก 7 ปีข้างหน้าเป็นอย่างเร็ว

160922416916

ทั้งนี้ ปี 64 บริษัทจะขยายกำลังการผลิตเครื่องจักรเพิ่มอีก 50,000 ตันต่อปี ใช้งบลงทุน 60 ล้านบาท จะทำให้ปี 65 บริษัทจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 15% โดยปี 65 บริษัทจะมีกำลังผลิตรวม 5.1 แสนตันต่อปี ซึ่งกำลังการผลิตที่เพิ่มเข้ามานั้นมีออร์เดอร์รองรับไว้หมดแล้ว อย่างในปีนี้ลูกค้ามีการทำสัญญาระยะยาวแล้ว

'ด้วยนโยบายที่เราใช้มาโดยตลาดคือ ใช้การตลาดนำการผลิต หมายความว่า เราต้องขายของให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาลงทุน โดยเราจะไม่สร้างโรงงานก่อน โดยไม่รู้ตลาด จะเห็นชัดเจนจากโรงงานที่ 2 ที่สร้างเสร็จแล้วจะขายสินค้าได้ทันที'

อย่างไรก็ตาม 'จุดแข็ง' คือ บริษัทมีโรงงานผลิตเพียงแห่งเดียว มีกำลังการผลิตรวมประมาณ 5.1 แสนตันต่อปี ดังนั้น ต้นทุนการทำงานของบริษัทจะไม่มาก และเป็นจุดที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จด้วย และคาดว่าจะใช้กำลังการผลิตเต็มทั้งปี ซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีความได้เปรียบของบริษัท ที่จะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยถูกลง  (Economies of Scale) ส่งผลให้มาร์จิ้นของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นด้วย โดยมีโอกาสที่อัตรากำไรขั้นต้นจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเป็น 6% จากปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ราว 5%

ทั้งนี้ปีหน้าบริษัทยังมีคำสั่งซื้อเพิ่มจากกลุ่มลูกค้าเดิม และลูกค้ารายใหม่ โดยมีสัดส่วนรายได้ในประเทศปี 64 ลดลงเหลือ 40% จากปี 63 อยู่ที่ 50% และที่เหลือจากต่างประเทศเป็น 60% ซึ่งในสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศแบ่งเป็น จีน 40% , สิงคโปร์ 30% และอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น อินเดีย เป็นต้น

ส่วนลูกค้าในกลุ่มยุโรปปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการอนุมัติจากกลุ่ม 'มิชลิน' ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งขั้นตอนการตรวจโรงงานผ่านเรียบร้อย แต่สินค้ายางที่ส่งไปก่อนหน้านี้ติดปัญหาทดสอบไม่ผ่านมาตรฐาน เนื่องจากสินค้ายางถูกทิ้งไว้นานก่อนตรวจจากผลกระทบช่วงโควิด-19 ทำให้คุณภาพยางลดลง แต่บริษัทได้ส่งสินค้าล็อตใหม่ไปแล้ว คาดว่าช่วงต้นปี 64 จะทราบผลสรุป และหากได้รับการอนุมัติ บริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายยางประเภทแผ่นรมควันอีกมาก

1609224237100

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ครอบครัวได้ขายหุ้นบิ๊กล็อตให้กับ Daiwa Fund Consulting Co.Ltd. นักลงทุนสถาบันจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งหลังจากนี้คงไม่มีการขายจากกลุ่มครอบครัวผู้ถือหุ้นโดยตรงแล้ว แต่หากเป็นกรณีขายหุ้นประเภทหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) บริษัทอยากได้พันธมิตรเสริมธุรกิจมากกว่าพันธมิตรที่เป็นนักลงทุนอย่างเดียว 

ขณะที่ แผนการเติบโตของรายได้ช่วง 5 ปี (ปี 2564-2568) คาดหวังการเติบโตปีละ 10-15% โดยสินค้าต้นน้ำประเภทยางดิบเมื่อขยายกำลังการผลิตแตะระดับ 5.1 แสนตันต่อปีได้แล้ว ในปี 64 คิดว่าเป็นระดับที่เหมาะสมแล้ว ซึ่งบริษัทจะเริ่มหันมารุกธุรกิจปลายน้ำ หรือการแปรรูปเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีอัตราการทำกำไรสูงประมาณ 20%

โดยปีหน้าจะเห็นการจำหน่ายแผ่นปูนอนวัว ซึ่งปัจจุบันติดขั้นตอนการจดลิขสิทธิ์รูปลักษณ์ภายนอก คาดว่าจะสำเร็จในช่วงกลางปี 64 ส่วนลิขสิทธิ์สูตร บริษัทจดทะเบียนเรียบร้อยแล้ว ประกอบกับยังอยู่ระหว่างรอการติดตั้งเครื่องจักรจากไต้หวันงบประมาณ 200-220 ล้านบาท โดยกลุ่มลูกค้าจะเป็นต่างประเทศประมาณ 90% และในประเทศ 10% โดยลูกค้าต่างประเทศจะเป็นกลุ่มออสเตรเลียกับนิวซีแลนด์ ซึ่งบริษัทมีตัวแทนจำหน่ายอยู่ในประเทศดังกล่าว

นอกจากนี้ในอนาคตจะเห็นการผลิตธุรกิจปลายน้ำอื่นๆ เพิ่ม ซึ่งกลางปีหน้า คาดว่าจะเห็นข้อสรุปการทำสินค้าประเภทสุขภาพอีก 2 ชนิด

160922426556