สมาคมผู้เลี้ยงสุกรยืนราคาหมู 80 บาท/กก. แม้ความต้องของตลาดการยังพุ่งสูง

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรยืนราคาหมู 80 บาท/กก. แม้ความต้องของตลาดการยังพุ่งสูง

สมาคมผู้เลี้ยงสุกร ชี้รัฐ เอกชนจับมือเหนียวแน่นป้อง เอเอฟเอส ฝ่าโควิด คาดปีนี้มีผลผลิตป้อนตลาด 22 ล้านตัว ยืนราคา 80 บาท แม้มั่นใจความต้องการสูงขึ้น

นายวิวัฒน์ พงษ์วิวัฒนชัย อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมสุกรในปี 2564 แม้จะมีความท้ายทายจากวิกฤตโควิด-19 และสถานการณ์โรคอหิวาต์แอฟริกา(ASF) ที่ยังพบการระบาดในประเทศเพื่อนบ้าน แต่แนวโน้มภาพรวมยังคงสดใส จากความต้องการบริโภคที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นทั้งในไทยและภูมิภาคเอเชีย ขณะที่ปริมาณการผลิตน่าจะใกล้เคียงกับปี 63 คือ 22 ล้านตัว จากภาวะโรค ASF และ ไวรัส PRRS ที่ยังต้องเฝ้าระวัง และเกษตรกรส่วนใหญ่ยังคงลดความเสี่ยง ด้วยการเข้าเลี้ยงสุกรบางลงไม่เต็มกำลังการผลิต สอดคล้องกับการผลิตสุกรทั่วโลกที่ลดลงจากปัจจัยดังกล่าว และเชื่อว่าสุกรจะยังคงเป็นสินค้าปศุสัตว์เดียวที่เหลืออยู่ ที่จะสามารถทำรายได้เข้าประเทศในวิกฤตโควิด-19 นี้

ไทยเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียที่คงสถานะปลอดโรค ASF จนถึงปัจจุบัน ช่วยตอกย้ำถึงมาตรฐานการผลิตและความปลอดภัยทางอาหารของสุกรไทยได้เป็นอย่างดี วันนี้ทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรไทยทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกร ยังคงจับมือเหนียวแน่น เพื่อตั้งค่ายกลป้องกัน ASF ที่แข็งแกร่ง เพื่อปกป้องอาชีพเลี้ยงสุกร ให้สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจชาติในวิกฤตโควิดให้ได้”

สำหรับปริมาณการผลิตสุกรของไทยในปี 2563 ผู้ประกอบการฟาร์มสุกรครบวงจรและเกษตรกรรายย่อยทั้งประเทศร่วม 200,000 ฟาร์ม มีผลผลิตสุกรมากกว่า 22 ล้านตัวต่อปี เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่การผลิตอยู่ที่ 20.43 ล้านตัว ปริมาณการผลิตขยายตัวตามจำนวนประชากร ประกอบกับราคาสุกรมีชีวิตจูงใจให้เกษตรกรขยายการผลิต หลังจากที่ช่วงกลางปี 2562 ราคาสุกรตกต่ำเป็นอย่างมากจากปัญหา Over supply และมีปัจจัยเสริมจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับ ASF ทำให้เกษตรกรทั้งรายย่อย รายกลาง และรายใหญ่ ต่างระมัดระวังในการเข้าเลี้ยงสุกรมากขึ้น โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยที่ขาดทุนสะสมมานานกว่า 3 ปีก่อนหน้านี้ เมื่อปริมาณสุกรในภาพรวมลดลง ราคาพลิกกลับมาดีขึ้น เกษตรกรจึงหันมาเพิ่มการผลิตรองรับความต้องการบริโภค ขณะเดียวกัน การบริหารจัดการฟาร์มและป้องกันโรคระบาดได้เป็นอย่างดี ทำให้ประสิทธิภาพในการเลี้ยงสุกรเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้การผลิตสุกรของไทยเป็นการผลิตเพื่อรองรับการบริโภคภายในประเทศเป็นหลักประมาณ 97% ของปริมาณการผลิตทั้งหมด ขณะที่ความต้องการบริโภคเนื้อสุกรของคนไทยอยู่ที่ปริมาณ 1.49 ล้านตัน ในปี 2563 เพิ่มขึ้น 0.68% จากปี 2562 โดยการผลิตสุกรยังคงเพียงพอกับการบริโภคภายในประเทศ ไม่เคยมีปัญหาขาดแคลน

สำหรับราคาในปีที่ผ่านมามีความผันผวน จากสถานการณ์โควิดที่ทำให้ผู้บริโภคลดค่าใช้จ่าย ยิ่งเมื่อรัฐบาลประกาศล็อคดาวน์ ปิดสถานที่เสี่ยง ทำให้ราคาขายสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มของเกษตรกรเริ่มเข้าสู่ภาวะตกต่ำ กระทั่งเริ่มทยอยปลดล็อคดาวน์ในช่วงกลางปี ความต้องการบริโภคเนื้อสุกรจึงกลับมาคึกคักขึ้น ประกอบกับขณะนั้นยังอยู่ในช่วงฤดูร้อน อากาศร้อนแปรปรวนและภัยแล้ง ส่งผลต่อปริมาณผลผลิตสุกรเสียหายกว่า 10% กลไกตลาดดังกล่าวทำให้ราคาสุกรฟื้นตัวได้อีกครั้งและประคองตัวมาได้ หากแต่ต้นทุนการเลี้ยงสุกรก็ปรับขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกัน ทั้งจากการลงทุนระบบ Biosecurity ในฟาร์มเพื่อป้องกันโรค ASF และโรค PRRS อย่างเข้มงวด ตลอดจนปัญหาภัยแล้งอากาศแปรปรวน

อย่างไรก็ตาม สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติและเกษตรกรทั่วประเทศยังคงยืนราคาสุกรหน้าฟาร์มไม่เกิน 80 บาทต่อกิโลกรัม ตามที่กรมการค้าภายในขอความร่วมมือ เพื่อร่วมกันดูแลค่าครองชีพแก่ประชาชนไทยในวิกฤตโควิด-19

สำหรับการส่งออกมีการขยายตัวจากความต้องการสุกรของประเทศเพื่อนบ้านในแถบเอเชีย โดยเฉพาะ จีน เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมา ที่ประสบปัญหา ASF ทำให้ปริมาณผลผลิตไม่เพียงพอกับการบริโภคภายในประเทศ และราคาสุกรมีชีวิตเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าตัวจากภาวะปกติ ตามกลไกตลาด จึงต้องพึ่งพาการนำเข้าจากไทย ทั้งในส่วนของสุกรพันธุ์ สุกรขุนมีชีวิต และเนื้อสุกกร จากมาตรฐานของไทยที่สามารถผลิตสุกรคุณภาพปลอดสาร ปลอดภัย ปลอดโรค

เนื่องจากไทยมีระบบฟาร์มมาตรฐานที่แข็งแกร่งทั้งฟาร์มเชิงพาณิชย์ ที่เลี้ยงภายใต้มาตรฐาน GAP และมาตรฐาน GFM ในฟาร์มขนาดเล็ก ที่กรมปศุสัตว์ผลักดันให้เกษตรกรเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่อง โดยทั้งสองมาตรฐานมุ่งเน้นการปกป้องฟาร์มและฝูงสัตว์ ด้วยจัดการฟาร์มให้มีความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity System) ที่เข้มงวด

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการจัดการฟาร์มสุกรในปัจจุบันจะมีประสิทธิภาพและควบคุมโรคระบาดได้ดีขึ้น จากประสบการในการป้องกัน ASF มานานกว่า 2 ปี แต่ในช่วงที่ผ่านมายังคงมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องโรคในสุกร เช่น โรค PRRS หรือเพิร์ส ทำให้การผลิตสุกรเสียหายเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น โดยฟาร์มสุกรของเกษตรกรรายย่อยและฟาร์มขนาดเล็ก