‘ล็อกดาวน์’ อังกฤษรอบใหม่ ส่งผลอย่างไรกับ ‘พรีเมียร์ลีก’

‘ล็อกดาวน์’ อังกฤษรอบใหม่ ส่งผลอย่างไรกับ ‘พรีเมียร์ลีก’

หลังอังกฤษประกาศ “ล็อกดาวน์” ทั่วประเทศเพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 เมื่อวันที่ 4 ม.ค. ส่งผลให้ต้องงดกิจกรรมกีฬาหลายประเภท ยกเว้นกีฬาอาชีพรายการสำคัญ เช่น “พรีเมียร์ลีก” ที่ยังแข่งขันต่อได้ แต่มาตรการล่าสุดมีผลกับลีกฟุตบอลยอดนิยมนี้อย่างไรบ้าง

นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันของอังกฤษประกาศมาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศรอบที่ 3 เป็นเวลา 6 สัปดาห์จนถึงช่วงกลางเดือน ก.พ. เพื่อสกัดการระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 ที่พุ่งพรวดรายวัน และยกระดับคุมเข้มการระบาดทั่วประเทศจาก Level 4 เป็น Level 5 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นครั้งแรก หลังจากเมื่อวันจันทร์ (4 ม.ค.) สหราชอาณาจักรรายงานยอดผู้ป่วยโควิดรายใหม่ 58,784 ราย นับเป็นตัวเลขรายวันสูงที่สุดตั้งแต่โรคนี้เริ่มระบาด และเป็นวันที่ 7 ติดต่อกันที่พบผู้ติดเชื้อรายวันทะลุ 50,000 ราย

มาตรการล็อกดาวน์เต็มรูปแบบรอบใหม่นี้ กำหนดให้ชาวอังกฤษเกือบ 56 ล้านคนห้ามออกนอกบ้านหากไม่มีเหตุจำเป็น ห้ามจัดการแข่งขันกีฬาสมัครเล่นทุกประเภท ห้ามเล่นกีฬากลางแจ้ง (เอาท์ดอร์) พร้อมสั่งปิดยิม ลานปั่นจักรยาน สตูดิโอสอนเต้น สระว่ายน้ำ สนามกอล์ฟ และสนามเทนนิสทุกแห่ง ตั้งแต่วันพุธที่ 6 ม.ค. และยังครอบคลุมถึงการสั่งปิดโรงเรียนประถมและมัธยมทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตาม ชาวอังกฤษยังสามารถออกกำลังกายนอกบ้านคนเดียว หรือกับครอบครัว หรือกับเพื่อนไม่เกิน 1 คน แบบเว้นระยะห่าง และจำกัดให้ทำกิจกรรมได้เพียงวันละ 1 ครั้งเท่านั้น ซึ่งคล้ายกับมาตรการคุมเข้มเมื่อเดือน มี.ค. ปีที่แล้ว

นอกจากนี้ คำสั่งล่าสุดของรัฐบาลอังกฤษ “มีข้อยกเว้น” สำหรับศึกฟุตบอล “พรีเมียร์ลีก” และกีฬาอาชีพรายการอื่น ๆ รวมถึงศึกรักบี้ “กัลลาเกอร์ พรีเมียร์ชิพ” ที่ยังสามารถเดินหน้าจัดแข่งขันต่อไปได้

ข้อยกเว้นดังกล่าวอนุญาตให้นักกีฬาอาชีพ รวมถึงสตาฟฟ์โค้ช (หากจำเป็น) หรือผู้ปกครองนักกีฬา (หากอายุต่ำกว่า 18 ปี) หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกีฬาอาชีพที่ได้รับการยกเว้น สามารถแข่งขันและฝึกซ้อมได้ตามปกติ ภายใต้เงื่อนไขสำคัญว่า “ห้ามผู้ชมเข้าสนาม”

หนึ่งในตัวแปรสำคัญที่รัฐบาลอังกฤษใช้พิจารณาว่า การแข่งขันกีฬานั้น ๆ จะสามารถจัดต่อได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าผู้จัดมีมาตรการตรวจคัดกรองโควิดและแผนดูแลความปลอดภัยของนักกีฬาตลอดช่วงแข่งขัน เข้มงวดมากน้อยเพียงใด

160983594741

สำหรับฟุตบอลรายการสำคัญอย่าง พรีเมียร์ลีก ลีกสูงสุด, ลีกอาชีพระดับรองลงมาอีก 3 ลีก และฟุตบอลถ้วยเก่าแก่ เอฟเอ คัพ รัฐบาลอังกฤษพอใจกับมาตรการความปลอดภัยและป้องกันการแพร่ระบาดที่ใช้เป็นประจำกับทั้งการฝึกซ้อมและการแข่งขัน จึงทำให้ได้รับไฟเขียวให้แข่งขันต่อ

เดือน มี.ค. ปีที่แล้ว พรีเมียร์ลีกระงับการแข่งขันทั้งหมดก่อนรัฐบาลประกาศล็อกดาวน์ประเทศรอบแรก และตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา มีการเลื่อนแมตช์แข่งขันไปแล้ว 4 เกมรวมถึง 3 เกมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากพบผู้เล่นติดโควิด-19 จากทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี, ฟูแลม และนิวคาสเซิล

ขณะเดียวกัน จนถึงขณะนี้บรรดาผู้จัดพรีเมียร์ลีกมีความมั่นใจในขั้นตอนการตรวจโควิด-19 อันเข้มงวดของตน และยังไม่มีแผนพักแข่งขันกลางฤดูกาล แม้ว่าจะพบผู้เล่นและสตาฟฟ์ติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้นก็ตาม

ในรอบการตรวจระหว่างวันที่ 21-27 ธ.ค. พรีเมียร์ลีกยืนยันว่า พบผู้เล่นและสตาฟฟ์มีผลตรวจโควิดเป็นบวกถึง 18 คน นับเป็นตัวเลขสูงสุดตั้งแต่เปิดฤดูกาลนี้

อย่างไรก็ดี ใช่ว่าทุกคนจะเห็นด้วยกับการเดินหน้าจัดการแข่งขันในสถานการณ์เช่นนี้ เดวิด บอททอมลีย์ ประธานสโมสรรอชเดล ตั้งคำถามเกี่ยวกับนโยบายฟุตบอลไม่สนโลกดังกล่าว และมองว่าเป็นเรื่อง “เลี่ยงไม่ได้” ที่จะต้องระงับแข่งลีกฟุตบอลอาชีพชั่วคราว เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นทั่วประเทศ

“โรงพยาบาลทั่วสหราชอาณาจักรต่างได้รับแจ้งว่าจะต้องรับมือกับจำนวนผู้ป่วยโควิดเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล แล้วคนในวงการฟุตบอลอย่างเราเป็นใคร ถึงต้องพยายามเพิ่มภาระให้กับสถานการณ์นี้?”

--------------------

อ้างอิง: AFP, Guardian, Sky, TalkSport