‘ฐากร’ยกเครื่อง SEG ขึ้นTop5ธุรกิจประกัน
ฐากร แม่ทัพ SEG วางเป้าหมาย 5 ปีข้างหน้า ธุรกิจวินาศภัยและประกันชีวิต ขึ้นแท่นท็อป 5
นับตั้งแต่พ.ย. 2563 ที่ผ่านมาข่าวที่สร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการ “การเงิน” “ประกัน” คงหนีไม่พ้น การประกาศครั้งใหญ่ของ “เจ้าสัวเจริญ”เจ้าของอนาจักรระดับแสนล้านบาท ที่ประกาศแต่งตั้งผู้บริหารระดับแนวหน้าในธุรกิจการเงิน มือฉมังด้านดิจิทัล นั่นคือ “ฐากร ปิยะพันธ์” ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง “ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่”ของ SEG หรือ บริษัทเครือไทยโฮลดิ้งส์ จำกัด(มหาชน)
การมาของ “ฐากร” ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการได้เพียง 2 เดือน ยิ่งดูดดึงให้ “เครือไทยโฮลดิ้งส์” น่าจับตา และโดดเด่นมากขึ้นไปอีก เพราะตั้งแต่ “ฐากร”เข้ามาดำรงตำแหน่งไม่นาน ก็ได้เข้ามาพลิกฟื้น “เครือไทยโฮลดิ้งส์” จากเงียบๆ ให้ฟื้นกลับมา มีชื่อติดชาร์ตในแวดวงการการเงินอีกครั้ง และเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอกมากขึ้น ด้วย ฝีมือของ “ฐากร” แม่ทัพใหญ่ ของ SEG
“ฐากร” แม่ทัพแห่ง SEG เล่าให้ฟังว่า กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของเครือไทยโฮลดิ้งส์ในช่วง 3 ปีแรก หลักๆ ในช่วง 2 ปีแรก อาจไม่ได้หวือหวามากนัก แต่จะเป็นปีที่เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง เห็นการปรับเปลี่ยน เห็นการเพิ่มสิ่งต่างๆ ให้เท่ากับคนอื่น และเป็น 2 ปี ที่ต้องให้ความสำคัญ ในการปรับวัฒนธรรมองค์กร เห็นการจัดองค์กรให้เป็นระบบมากขึ้น และวางโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนดิจิทัล แพลตฟอร์มต่างๆเพื่อต่อยอดการเติบโตธุรกิจ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการลูกค้าได้มากขึ้น
สิ่งสำคัญที่จะทำให้องค์กร มีประสิทธิภาพมากขึ้น คือการเร่งลงทุน เพื่อพัฒนาด้านเทคโนโลยีให้เครือไทยโฮลดิ้งส์ ผ่าน Core Platform คือ อินชัวร์เทค ,ดาต้า และ ปัญญาประดิษฐ์(AI) ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้มีการลงทุนสร้างแพลตฟอร์มร่วมกับสิงคโปร์ (PUSEMETRICS PTE LTD.) โดยได้ตั้ง บริษัทเซ็นทริคส์ คอนซัลติ้ง จำกัด เพื่อทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูล วิจัย และจัดตั้งบริษัท เอสโซฟิน จำกัด เพื่อให้บริการทางการเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SEG เพื่อรองรับการทำดิจิทัลโซลูชั่น เหล่านี้ทำให้ SEGมีความพร้อมแล้วระดับหนึ่ง
ไม่เพียงเท่านั้น SEG ยังได้มีการลงทุนผ่านพันธมิตร อาทิ 500 TukTuk และยังอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรอีก 4-5 ราย เพื่อต่อยอดในการทำธุรกิจประกัน หรือ สินเชื่อในอนาคตเพิ่มเติมด้วย
“แนวทางที่เราไว้ในช่วง 3 ปีแรก คือการพัฒนาระบบ วางโครงสร้างพื้นฐานให้สอดคล้องกับแผนของกรุ๊ป ภายใต้ คอนเซปต์ “Life Solution Insurance and Financial Platform” ที่สามารถสร้างอีโคซิสเต็มด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น รถ บ้าน ครอบครัว สุขภาพ และสถาบันที่มีฐานเครือข่ายอยู่ โดยจะใช้ศักยภาพนี้ต่อยอดธุรกิจ”
สำหรับเป้าหมายของการขยายการเติบโตของธุรกิจในอนาคต โดยเฉพาะธุรกิจประกันวินาศภัยและประกันชีวิต ปัจจุบัน บริษัทมีฐานลูกค้าที่ราว 3 ล้านคน แผนคือต้องผลักดันลูกค้าเหล่านี้ ให้ขึ้นมาอยู่บนดิจิทัลแพลตฟอร์มให้ได้ราว 30% ในอีก 5 ปีข้างหน้า
หากเราสามารถทำได้ตามแผน เชื่อว่าหลังจากนี้จะเห็นการเติบโตของธุรกิจวินาศภัยและประกันชีวิตก้าวกระโดด และเป็นส่วนผลักดันสำคัญให้บริษัทก้าวขึ้น 1 ใน 5 หรือ Top5 ในธุรกิจดังกล่าวในอีก 5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันธุรกิจประกันวินาศภัยอยู่อันดับ 6 และประกันชีวิตอันดับ 10 ถือว่าไม่ง่ายแต่ก็ไม่เกินเอื้อมภายใต้คู่แข่งที่ใหญ่และแข็งแกร่ง
อีกด้าน คือรักษาผู้นำ อันดับหนึ่ง ในธุรกิจรถเช่าองค์กรให้ต่อเนื่อง และต่อยอดไปสู่การเติบโตใหม่ๆ ได้มากขึ้น เช่นเดียวกันการต่อยอดธุรกิจของบริษัทที่อยู่แล้วให้เติบโตมากขึ้น ผ่านการสร้างแพลตฟอร์มขึ้นเองหรือส่งต่อพันธมิตร เช่น การต่อยอดธุรกิจโรงพยาบาลในเครือข่าย ที่มีกว่าสองพันแห่ง หรือสามารถทำ Crowdsourcing อะไหล่รถยนต์ เป็นต้น
“หากเราทำให้ทั้งตลาดประกันวินาศภัยและชีวิตเป็นดิจิทัลได้ โอกาสในการเติบโตจะมีอีกเยอะ วันนี้คนซื้อประกันผ่านดิจิทัลไม่ได้มาก แต่หากบริษัทสามารถให้บริการที่ดี มีดิจิทัลแพลตฟอร์มที่ดี สามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าได้ คุ้มค่ากับเงินที่ลูกค้าจ่าย ต่อไปก็ไม่จำเป็นที่ต้องดั๊มพ์ราคาแข่งกัน ธุรกิจก็โตได้”