เปิด ขบวนการนอมินี 'บ่อนพนัน'
หลายครั้งที่มีการจับกุมบ่อนการพนัน น้อยครั้งที่จะสาวไปถึงตัวบงการใหญ่ ไม่ต่างอะไรกับไฟไหม้ฟาง พอข่าวเงียบไป ทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ กลับมาระบาดเป็นวงกว้างในรอบ 2 โดยมีแหล่งต้นตอมาจากทั้งสถานบันเทิง ที่มีคนไทย และแรงงานเมียนมาลักลอบเข้าออกตามแนวชายแดน ตามมาด้วยแรงงานเมียนมาในตลาดกุ้ง จ.สมุทรสาคร และล่าสุด "บ่อนการพนัน" ได้กลายเป็นประเด็นร้อน
ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้เร่งสะสางปัญหาบ่อนพนันทันที โดยเน้นย้ำ “ต้องติดตามถึงผู้ที่เป็นนายทุน ผู้อยู่เบื้องหลัง ผู้อำนวยความสะดวก และเจ้าหน้าที่ที่ละเว้น ปล่อยปละละเลย”
แต่งานนี้อาจไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะยังติดขัดอยู่ที่ข้อกฎหมาย และตำรวจผู้บังคับใช้ และแม้แต่คนในกระบวนการยุติธรรม ยังออกมาเปิดเผยว่า มีขบวนการนอมินี รับจ้างติดคุก ดังนั้นจับเท่าไหร่ ก็ไม่มีทางได้ตัว "เจ้าของบ่อนตัวจริง"
ทนายความผู้เชี่ยวชาญคดีบ่อนพนันรายหนึ่ง เปิดเผยข้อมูลเบื้องลึกในขบวนการนี้ว่า สาเหตุที่ไม่สามารถล้มล้างขบวนการบ่อนพนันได้ เพราะมีปัจจัยหลายอย่าง เอื้ออำนวยให้ขบวนการบ่อนพนันยังคงเดินหน้าต่อไปได้สบายๆ อย่างที่สังคมทราบกันดีอยู่แล้ว และยังมีการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน
สิ่งแรกที่ทำให้คนในธุรกิจการพนันไม่เกรงกลัวต่อกฏหมาย ก็คือ “บทลงโทษที่เบามาก” เช่น ตัวนักพนัน หากเป็นบ่อนการพนันเล็กๆ เมื่อถูกจับกุมก็จะ “โดนปรับและรอลงอาญา” จึงทำให้นักพนันไม่กลัวหากจะถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวได้ อีกทั้งเจ้าของบ่อนยังให้ลูกน้องไปประกันตัวออกมา มีการดูแลนักพนันเป็นอย่างดี
แต่หากเป็นการจับกุม“บ่อนขนาดใหญ่” เป็นข่าวโด่งดัง นักพนันอาจจะติดคุกจริงไม่กี่วัน จากนั้นก็จะมีทีมงานของบ่อนไปช่วยประกันตัวออกมา เมื่อคดีถึงศาล ก็สั่งรอลงอาญา เพราะตามกฎหมายถือเป็นความผิดเพียงเล็กน้อย และสุดท้ายเรื่องก็เงียบหายไป
ถัดมาคือ “ขบวนการนอมินี” ในธุรกิจบ่อนการพนัน ซึ่ง “เจ้าของบ่อนตัวจริง” จะทำหน้าที่คอยบงการอยู่เบื้องหลังทั้งหมด ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวทั้งสถานที่ การรับเป็นเจ้ามือ ไม่แตะแม้แต่เงินที่มีการได้เสียในบ่อน แต่จะจ้างคนดูแล คอยตรวจสอบทุกอย่าง ไม่เว้นแม้กระทั่งมือปืนคอยจัดการปัญหาภายในบ่อน ตัวอย่างชัดเจนคือ บ่อนพระราม 3
ส่วนผู้ดูแลจะทำหน้าที่จัดหน้าสถานที่ในการตั้งบ่อนการพนัน โดยจะทำสัญญาเช่ากับเจ้าของบ้าน เจ้าของอาคาร เจ้าของโกดัง และจะใช้วิธีการทำสัญญาเช่าสถานที่แห่งนั้น เพื่อตัดปัญหาให้กับเจ้าของสถานที่ โดยใช้สัญญาเช่ามาเป็นหลักฐาน ซึ่งเจ้าของสถานที่จริงๆ จะไม่เกี่ยว เพราะเป็นการเช่า ผู้เช่าซึ่งเป็นคนของบ่อน พร้อมรับผิดแทน
นอกจากนี้ ผู้ดูแลจะหาเจ้ามือ หน้าเสื่อ หรือพนักงานส่วนอื่นๆ ที่ทำหน้าที่ภายในบ่อน ซึ่งเปรียบเสมือน “มดงาน” ที่ทำงานให้กับเจ้าของธุรกิจบ่อนพนัน แต่หากถูกเจ้าหน้าที่จับกุม บรรดามดงาน ทั้งเจ้ามือ หน้าเสื่อ หรือพนักงานส่วนอื่น ก็จะแสดงตัวว่าเป็นผู้กระทำความผิด และรับโทษตามบทกฏหมาย โดยรับสารภาพทั้งหมด ไม่ซัดทอดใครทั้งสิ้น และคนเหล่านี้จะไม่รู้สึกกังวลอะไร เพราะทั้งตัวเองและครอบครัวได้รับการดูแลอย่างดีจากเจ้าของบ่อนพนัน พร้อมดูแลค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่าง
ส่วนการเอาผิดกับเจ้าของบ่อนการพนัน ถือว่าเป็นไปได้ยาก เพราะข้อกฎหมายที่มีการบังคับใช้ไม่สามารถสาวไปถึงตัวเจ้าของบ่อนได้ เนื่องจากมี “ลิ่วล้อ” เตรียมพร้อมออกมารับความผิดแทนเจ้าของบ่อนอยู่แล้ว ความผิดที่มีโทษสูงสุดที่ดำเนินการได้ คือ “การลักลอบเล่นการพนัน” เท่านั้น
หากจะพิจารณาเรื่องการนำ “กฎหมายฟอกเงิน” มาใช้ตรวจสอบเส้นทางเงิน เพื่อสาวไปให้ถึงตัวเจ้าของบ่อน ก็มีอุปสรรค เพราะแม้ “การจัดให้มีการเล่นการพนัน” จะเป็น “ความผิดมูลฐาน” ตามกฎหมายฟอกเงิน แต่กฎหมายก็กำหนดเพดานขั้นต่ำว่า ต้องมีวงเงินในการกระทำความผิดตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป
จุดนี้เองที่ทำให้บ่อนการพนัน ไม่ว่าบ่อนเล็กหรือใหญ่ จะให้แลกชิพเล่น ไม่ให้ใช้เงินสด เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบวงเงินหมุนเวียนภายในบ่อนที่แท้จริง
ทนายความผู้เชี่ยวชาญ ยังบอกอีกว่า แม้นายกรัฐมนตรีจะมีคำสั่งตั้ง “คณะกรรมการปราบปรามบ่อนพนัน” ขึ้นมา เพื่อหวังปราบบ่อนให้สิ้นซาก แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องขึ้นอยู่กับต้นธารของกระบวนการยุติธรรม ก็คือ “ตำรวจ” ว่าจะจริงจังในการปราบปราม หรือสืบหาบ่อนการพนันมากแค่ไหน เพราะอย่างที่คนไทยรู้กันดีอยู่แล้วว่า สินบนที่บ่อนพนันเหล่านี้จ่ายให้เจ้าหน้าที่รัฐ หรือที่เรียกกันว่า “ส่วย” หรือ “ค่าน้ำร้อนน้ำชา” นั้นมีมากมายขนาดไหน
ฉะนั้นจึงมองว่า หากมีการปราบปรามขึ้นมา ก็คงเป็นแค่ไฟไหม้ฟาง พอข่าวเงียบไป ทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลอีกว่า มี “ขบวนการรับจ้างติดคุกแทน” สำหรับนักพนันที่ไม่ต้องการเปิดชื่อ เปิดหน้า เวลาถูกจับ โดยคนที่รับจ้างมา มีทั้งคนเร่ร่อน คนตกงาน หรือคนที่เกี่ยวพันเป็นเครือข่ายกับบ่อน โดยมากเป็นคดีใน กทม.และหัวเมืองใหญ่ และมี “ตำรวจเจ้าเก่า” เป็นธุระจัดหา “ทีมงานติดคุกแทน”
ที่ผ่านมา เคยมีคดีจับกุมบ่อนการพนัน และจับสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ พบว่ามีนายหน้าไปหาคนเร่ร่อนมารับผิดแทน แลกกับเงินประมาณ 3,000-5,000 บาท การติดคุกแทนแบบนี้ ตำรวจจะทำสำนวนฟ้องคนที่มารับจ้างติดคุกแทนให้เป็นผู้ต้องหาตัวจริง มีการระบุชื่อ นามสกุล และตำหนิรูปพรรณ แล้วนำคนเหล่านั้นส่งฟ้องศาลจริงๆ ถูกลงโทษจริง และติดคุกจริง บางทีก็ไปรับจ้างกันบริเวณใต้ถุนศาลก็ยังมี เรียกว่าพวก “ตีนโรงตีนศาล” นี่ก็เป็นอีกรูปแบบที่หนึ่ง