โพลชี้ ‘โควิด’ กดหุ้นระยะสั้น
สมาคมนักวิเคราะห์ฯมองหุ้นไทยปีนี้เพิ่มขึ้น 110 จุด ประเมินผลสำรวจให้เป้าสิ้นปีนี้ 1,559 จุด รับปัจจัยบวกผลประกอบการบจ.ฟื้น เงินทุนต่างชาติไหลเข้าจากเม็ดเงินคิวอี ชี้โควิดระบาดกดดันระยะสั้น
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนต่อมุมมองในด้านการลงทุนและคาดการณ์ทิศทางดัชนีราคาหุ้นไทยปี 2564 ว่า คาดดัชนีสิ้นปี 2564 เฉลี่ยที่ 1,559 จุด หรือเพิ่มขึ้น 110 จุด จากสิ้นปี 2563 โดยจุดสูงสุดเฉลี่ยปีนี้ที่ 1,631 จุด และจุดต่ำสุดที่ 1,338 จุด
ทั้งนี้ปัจจัยบวกหนุนการลงทุนหุ้นไทย ได้แก่ มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณหรือคิวอีของประเทศสำคัญทั่วโลก กระแสเงินทุนต่างชาติยังไหลกลับมา การฟื้นตัวของกำไรสุทธิต่อหุ้นที่คาดโตเฉลี่ย 40.77% เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวและทิศทางดอกเบี้ยนโยบายน่าจะลดลงมาอีก 0.25% ส่วนปัจจัยลบ ได้แก่ การแพร่ระบาดโควิด-19 ปัจจัยด้านการเมืองในประเทศ เศรษฐกิจในประเทศ การเมืองในต่างประเทศและเศรษฐกิจในต่างประเทศ
ส่วนการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบใหม่นี้ นักวิเคราะห์ฯประเมินว่า ในระยะสั้นยังต้องใช้เวลาบริหารจัดการอีกพอสมควร แต่หากมองระยะปานกลางนักวิเคราะห์ ไม่ได้มีความกังวลต่อสถานการณ์รอบใหม่นี้นัก เนื่องจากวัคซีนป้องกันโควิด-19 เริ่มทยอยใช้ในประเทศต่างๆ รวมถึงไทยที่คาดน่าจะมีการกระจายวัคซีนมาใช้ในช่วงปลายเดือน ก.พ. - มี.ค. และคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มกลับมาเป็นบวกได้ในไตรมาส 2 นี้ ขณะที่ไตรมาส 1 นี้ยังน่าจะติดลบเมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยทั้งปีนี้คาดว่าจีดีพีโต 3.74%
นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน ยังได้เสนอว่า ภาครัฐควรเร่งนโยบายเรื่องใดที่มีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่เสนอให้ภาครัฐใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ได้แก่ กระตุ้นการใช้จ่ายภาคประชาชน และกระตุ้นการบริโภคผ่านโครงการช้อปช่วยชาติ เป็นต้น เร่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศเพื่อกระตุ้นการจ้างงาน และด้านการช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ มาตรการช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอีให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้หรือการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
สำหรับ5 หุ้นเด่นแนะนำลงทุนปีนี้ คือADVANC รับอานิสงส์การทำงานที่บ้าน ทำให้การใช้งาน Data สูงขึ้นและปันผลสูงประมาณ 4.11% 2.BDMS ประเด็นสนับสนุน จากเป็นกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในไทย คาดกำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ปี2563 ที่เป็นจุดต่ำสุด 3.CPALL รับแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐยังมีต่อเนื่อง หนุนเม็ดเงินและกำลังซื้อของลูกค้า 4.KBANK ปัจจัยหนุนจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสูง เป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติ และ 5.PTTGC คาดว่าได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังมีวัคซีน
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยวานนี้(6ม.ค.) ปิดที่ระดับ 1,492.36 จุด ลดลง 14.29 จุด มูลค่าการซื้อขาย 142,327 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,573 ล้านบาท สถาบันซื้อสุทธิ 959 ล้านบาท โบรกเกอร์ ซื้อสุทธิ 813 ล้านบาท และรายย่อยขายสุทธิ 199 ล้านบาท โดยมีแรงทำกำไรกลุ่มโรงไฟฟ้าและหุ้น บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (DELTA) ขณะที่ยังมีการเวียนสลับไปเล่นกลุ่มแบงก์-กลุ่มน้ำมัน