ไทม์ไลน์หญิงติด 'โควิด-19' ลักลอบเข้าไทย ผ่านช่องทางธรรมชาติมาเลเซีย ก่อนเข้า 'กรุงเทพฯ'

ไทม์ไลน์หญิงติด 'โควิด-19' ลักลอบเข้าไทย ผ่านช่องทางธรรมชาติมาเลเซีย ก่อนเข้า 'กรุงเทพฯ'

บล็อกดิต "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" เล่าไทม์ไลน์ หลังพบหญิงลักลอบเข้าไทย ผ่านช่องทางธรรมชาติมาเลเซีย ก่อนเดินทางเข้า "กรุงเทพฯ" ติด "โควิด-19"

"สถานการณ์โควิด-19" ในประเทศไทย ยังมีคงมีแนวโน้มรุนแรงเพิ่มขึ้นได้ทุกเมื่อ ตราบใดที่ยังคงมีการลักลอบเดินทางโดยไม่ผ่านการคัดกรองกลุ่มผู้มีความเสี่ยง
161206400562
เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 64 บล็อกดิต "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" ได้เล่าถึง รายงานข่าวจากสำนักงานควบคุมโรคที่ 12 จังหวัดสงขลาว่า มีหญิงชาวไทยที่แอบลักลอบเข้าไปยังมาเลเซีย เมื่อตอนต้นเดือนมกราคม 2564 ได้แอบลักลอบกลับเข้ามายังประเทศไทย ผ่านช่องทางธรรมชาติระหว่างรัฐกลันตันประเทศมาเลเซีย กับอำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส

และได้ขึ้นรถตู้มาที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา สุดท้ายเหมารถตู้เข้ากรุงเทพ ถึงสถานีขนส่งหมอชิตเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2564 ตรวจเชื้อแล้วพบว่าเป็นโควิด

โดยรายละเอียดคือ หญิงไทยดังกล่าวถูกตำรวจมาเลเซียจับเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2564 ไปขังรวมกับผู้ต้องหาอื่นอีก 20 คน ทราบว่าในกลุ่มดังกล่าวเป็นโควิดสี่คน อยู่ด้วยกันหนึ่งวันหนึ่งคืน

หลังจากถูกปล่อยตัวในวันที่ 16 มกราคม 2564 ก็เริ่มมีอาการในวันที่ 17-20 มกราคม 2564 และเริ่มเดินทางลักลอบกลับเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติในวันที่ 26 มกราคม มาถึงกรุงเทพในวันที่ 28 มกราคม 2564

กรณีดังกล่าว สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างมาก เพราะในกรณีที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย โดยผ่านช่องทางธรรมชาติ จึงไม่มีการกักตัวไว้ 14 วัน

และหญิงไทยรายดังกล่าว ก็มีอาการชัดเจนตั้งแต่อยู่ฝั่งมาเลเซียแล้ว ว่าน่าจะเป็นโควิด คือมีไข้และจมูกไม่ได้กลิ่น ตลอดจนสัมผัสใกล้ชิดกับผู้เป็นโควิดถึง 4 คน

กรณีดังกล่าวไม่ควรจะให้เกิดขึ้นอีกเลย เพราะจะเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เหมือนกรณีหญิงไทยที่ทำงานอำเภอท่าขี้เหล็ก แล้วแอบลักลอบผ่านช่องทางธรรมชาติ เข้ามาที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

แล้วต่อมา เดินทางเข้ามากรุงเทพ และมีจำนวนหลายคนเดินทางไปอีกหลายจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นพิจิตร ราชบุรี เชียงใหม่ เป็นต้น กว่าจะควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ ก็ยุ่งยากและกินเวลานาน ทำให้ทางการและประชาชนเกิดความวิตกกังวลกันไปทั่ว คงต้องเร่งทำความเข้าใจกับชาวไทยที่อยู่ในฝั่งมาเลเซียว่า ไม่ว่าท่านจะออกไปโดยถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมาย เวลากลับเข้ามา ขอให้มีจิตสำนึกแสดงความรับผิดชอบต่อส่วนรวม โดยการกลับเข้ามาตามปกติ เพื่อกักตัว 14 วัน

ขณะนี้ประเทศเรา หลังจากยุติเรื่องที่ท่าขี้เหล็กแม่สายได้แล้ว ก็ยังกำลังมีปัญหาเรื่องตลาดกลางมหาชัยอยู่ ไม่ควรจะเกิดปัญหาที่ชายแดนไทย-มาเลเซียอีก

เพราะขณะนี้ประเทศมาเลเซียต้องถือว่า มีจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่าประเทศเมียนมาร์มากทีเดียว คือมาเลเซียอยู่ในอันดับที่ 54 มีผู้ติดเชื้อ 209,661 คนเพิ่มวันเดียวถึง 5,728 คนและเสียชีวิตไป 746 คน เมื่อเทียบกับประชากร 32 ล้านคน มีจำนวนผู้ติดเชื้อมากถึง 6430 คนต่อประชากร 1 ล้านคน ถือว่ามากกว่าประเทศเมียนมามาก เพราะเมียนมานั้นอยู่ในลำดับที่ 71 มีผู้ติดเชื้อ 139,864 คน เพิ่มหนึ่งวัน 349 คน เสียชีวิต 3125 คน เมื่อเทียบกับประชากร 54 ล้านคนแล้ว ติดเชื้อ 2561 ต่อ 1 ล้านคน

เพราะฉะนั้น สถานการณ์การติดเชื้อในประเทศมาเลเซีย ต้องถือว่าหนักหนากว่าประเทศเมียนมา ถ้าคนไทยที่ไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย แอบลักลอบนำโควิดจากฝั่งมาเลเซีย ข้ามมายังประเทศไทย แล้วไม่กักตัว ก็จะทำให้ประเทศไทยประสบปัญหาการแพร่ระบาดของ โควิด-19 จากฝั่งมาเลเซีย เพิ่มเติมจากฝั่งเมียนมา

คงต้องเรียกร้องซ้ำอีกครั้ง ให้ทุกคนช่วยเป็นหูเป็นตา ถ้าเป็นเพื่อนฝูง หรือญาติพี่น้อง พบผู้ที่เดินทางกลับเข้ามาโดยผิดกฎหมาย ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่และนำตัวไปตรวจโควิด-19 เพื่อกักตัว 14 วันทันที อย่าให้เกิดกรณีที่เรียกว่า ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก” หรือผีซ้ำ ด้ำพลอยเลยครับ