'J-Startup' โครงการญี่ปุ่นปั้นยูนิคอร์น
ทำความรู้จัก "J-Startup" โครงการผลักดันและสนับสนุนให้สตาร์ทอัพญี่ปุ่นสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก เนื่องจากปัจจุบันแม้ญี่ปุ่นจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก แต่ยังมีสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นอยู่เพียง 4 บริษัทเท่านั้น
1.Preferred Networks บริษัทที่เน้นการประยุกต์ใช้ Deep Learning ในอุตสาหกรรมต่างๆ 2.SmartNews บริษัทที่เน้นการใช้ AI ในการรวบรวมข่าว 3.Liquid บริษัทที่ทำตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราคริปโต และ 4.Playco ซึ่งเป็นบริษัทเกมที่เน้นการพัฒนาเกมที่ไม่ต้องมีการดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น (Instant Game)
หากดูแค่จำนวนยูนิคอร์นของประเทศญี่ปุ่น ก็ต้องถือว่ามีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เช่น สหรัฐและจีน ที่มีกว่า 200 บริษัท และ 100 บริษัทตามลำดับ ทั้งนี้ หากเทียบจำนวนยูนิคอร์นกับขนาดเศรษฐกิจ ก็ยังถือว่าประเทศญี่ปุ่นมียูนิคอร์นจำนวนน้อยเกินกว่าที่ควรจะเป็น ในปี 2561 ทางกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของประเทศญี่ปุ่น (METI : Ministry of Economy, Trade and Industry) จึงได้มีโครงการชื่อว่า J-Startup เพื่อผลักดันและสนับสนุนให้สตาร์ทอัพของประเทศสามารถแข่งขันในระดับโลกได้ โดยลักษณะพิเศษของโครงการนี้คือการสนับสนุนนั้นจะมาจากทั้งภาครัฐและเอกชน
โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาบริษัทสตาร์ทอัพของประเทศญี่ปุ่นให้เป็นยูนิคอร์น 20 บริษัทภายในปี 2566 โดยมีนโยบายหลักคือ การสร้างบริษัทต้นแบบ (Role Model) เพื่อสร้างความเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) ในสังคมและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศ (Ecosystem) ของสตาร์ทอัพในประเทศญี่ปุ่นด้วย
การพัฒนาบริษัทสตาร์ทอัพของโครงการนี้จะแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ Select > Connect > Go Global
Select - สตาร์ทอัพที่สามารถเข้าร่วมโครงการนั้นแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ Deep Tech ประเภท Platform และประเภท SGDs (Sustainable Growth Developments) จะต้องผ่านการคัดเลือกโดยผู้เชี่ยวชาญจากหลายๆ สาขาวิชาที่ METI คัดสรรเข้ามาเป็นคณะกรรมการ ปัจจุบันมีบริษัทที่ผ่านการคัดเลือกมากกว่า 100 บริษัท ซึ่งประกอบธุรกิจในหลากหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นด้านอากาศยานและอวกาศ เอไอ หุ่นยนต์ IoT/ICT Healthcare เป็นต้น
Connect - การสนับสนุนที่จะได้รับจากการเข้าร่วมโครงการนั้นมาจากทั้งภาคเอกชน ซึ่งได้แก่ Venture Capital Accelerator และบริษัทชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น และหน่วยงานในภาครัฐ ในส่วนของภาคเอกชนนั้นจะมีการให้เช่าพื้นที่ในการทำธุรกิจ ซึ่งรวมถึงอาจจะมีการคิดาค่าเช่าในอัตราพิเศษ การให้ความช่วยเหลือในการทำวิจัย การจัด Acceleration Program การให้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ การแนะนำลูกค้าหรือบริษัทในเครือให้บริษัทสตาร์ทอัพรู้จัก
ในส่วนการสนับสนุนจากภาครัฐนั้น จะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลักคือ METI New Energy Development Organization (NEDO) และ Japan External Trade Organization (JETRO) โดยจะมีการให้ใช้โลโก้ J-Startup การช่วยทำประชาสัมพันธ์ทั้งในและต่างประเทศ การช่วยเหลือในการสร้างกลยุทธ์ด้านทรัพย์สินทางปัญญา การส่งไปเป็นตัวแทนของประเทศในการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศมีการจับคู่ธุรกิจ การสนับสนุนการใช้ Regulatory Sandbox และการช่วยเหลือเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ต่างๆ
Go Global - ส่วนสุดท้ายของโครงการจะเป็นการสนับสนุนให้สตาร์ทอัพออกไปเติบโตในต่างประเทศโดยผ่านโครงการ JETRO Global Acceleration Hub ที่จะให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับประเทศที่จะไปลงทุน ให้การดูแลและคำแนะนำ และช่วยสร้างกลุ่มของสตาร์ทอัพญี่ปุ่นในแต่ละประเทศ และการจัด Startup Tour ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศ เช่น สหรัฐ โปรตุเกส เป็นต้น
นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นยังมีการสนับสนุนเพื่อให้ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในประเทศญี่ปุ่น เพื่อเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศ (Ecosystem) ของสตาร์ทอัพในประเทศด้วย เช่นระบบ Startup Visa ซึ่งช่วยผ่อนผันเรื่องวีซ่าให้กับผู้ประกอบการสตาร์ทอัพชาวต่างชาติที่จะเข้ามาทำธุรกิจในจังหวัดที่ได้รับการรับรอง และการให้ความช่วยเหลือบริษัทต่างชาติในการมาทำธุรกิจในประเทศญี่ปุ่นผ่านทางสำนักงานของเจโทรในประเทศต่างๆ ภายใต้โครงการ JETRO Global Acceleration Hub
ประเทศไทยเองนั้นก็กำลังมีความมุ่งมั่นในการส่งเสริมสตาร์ทอัพและสร้างยูนิคอร์น โครงการ J-startup ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจของความพยายามในการสร้างสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นเพื่อแข่งขันในระดับโลก ซึ่งประเทศไทยอาจจะพิจารณารูปแบบ วิธีการ มาตรการต่างๆ ว่าเหมาะสมหรือนำมาปรับใช้กับประเทศไทยได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งในการส่งเสริมสตาร์ทอัพดังกล่าวอาจจะต้องมีการใช้ความร่วมมือทั้งทางภาครัฐและเอกชน รวมถึงมาตรการหรือนโยบายทางกฎหมายต่างๆ ร่วมด้วย
(อ้างอิง www.j-startup.go.jp และเอกสารเผยแพร่บนเว็บไซต์ดังกล่าว)
*บทความนี้เป็นความเห็นในทางวิชาการส่วนตัวของผู้เขียน และไม่ใช่ความเห็นของบริษัทที่ทำงานอยู่