1 เดือนผ่านไป มองเห็นอะไรท่ามกลาง Covid-19 รอบนี้
ส่องสถานการณ์การลงทุนเป็นอย่างไรบ้าง? ท่ามกลางต้นปี 2564 ที่เกิดสถานการณ์ต่างๆ จำนวนมาก ทั้งการแพร่ระบาดระลอก 2 ความคืบหน้าของวัคซีนโควิดที่ปัจจุบันหลายประเทศเริ่มฉีดกันบ้างแล้ว รวมถึงเหตุจลาจลที่รัฐสภาสหรัฐ
เดือนแรกของปี 2564 ถือว่าเป็นเดือนที่จัดได้ว่าครบเครื่อง หรือครบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง COVID-19 เหตุจลาจลที่รัฐสภาสหรัฐอเมริกา การแพร่ระบาดระลอก 2 ของ Covid-19 ในประเทศไทยที่ต้องทำให้เรากลับมา Lock Down ในบางจังหวัดของประเทศไทย รวมทั้งความคืบหน้าในการเริ่มใช้ วัคซีนต้านไวรัส Covid-19
เริ่มจากต่างประเทศ ก็คงไม่พ้นเรื่องของคุณ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ และนำไปสู่ความโกลาหลในรัฐสภา ที่มาจากผู้ชุมนุม ซึ่งจริงๆ แล้ว ในอเมริกาก็เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่ไม่เคยเกิดที่สภา ซึ่งก็ตึงเครียดกันไปทั้งประเทศจนกระทั่งมาเริ่มสงบเมื่อคุณ โจ ไบเดน รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา สำหรับเรื่องหลักที่นักลงทุนรอคอยจากรัฐบาลคุณ โจ ไบเดน มีด้วยกัน 3 เรื่อง
เรื่องแรกคือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งสูงถึงระดับ 1.9 พันล้านล้านดอลลาร์ งบขนาดนี้ภาคการบริโภคและการผลิต รวมทั้งตลาดการลงทุนต่างๆ ต้องมีความหวังเชิงบวกเพิ่มขึ้นแน่นอน
เรื่องที่สอง คือเรื่องนโยบายภาษี ซึ่งในยุคของ คุณ โดนัลด์ ทรัมป์ มีการปรับลดลงมา คุณ โจ ไบเดน ก็อาจจะต้องเอากลับมาเพื่อชดเชยรายจ่ายจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ อันนี้ก็ส่งผลลบต่อภาคธุรกิจและการลงทุน
สุดท้ายที่เริ่มพูดถึงกันน้อยลงคือ นโยบายการค้าและการทูต ซึ่งดูแล้วอาจจะกลับมาเน้นพันธมิตรทางการค้ามากขึ้น ท่าทีที่มีต่อจีนและเอเชีย อาจจะผ่อนคลายลงแต่วัตถุประสงค์ไม่เปลี่ยนคือยังต้องเล็งๆ กันเรื่องดุลการค้าและการปกป้องเทคโนโลยี
นั่นก็คือทั้งสามเรื่องที่นักลงทุนต่างเฝ้ารอกันอยู่ แต่สำหรับคนอเมริกาเอง ที่ได้รับการกดขี่ในเชิงชาติพันธุ์ และเพศสภาพ ต่างก็รอดูท่าทีของคุณโจ ไบเดน ว่าจะเห็นคุณค่าของพวกเขาหรือไม่ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด คุณโจ ไบเดน ก็ ทยอย ยกเลิกกฎหมายต่างๆ เหล่านั้น สำหรับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ เราก็ได้เห็นแค่ร่างแผนเท่านั้น ยังไม่เห็นรายละเอียดอะไรมากนัก
กลับมาที่ประเทศไทย กระแสที่แรงที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเรื่องการกลับมาแพร่ระบาดระลอกที่ 2 ของ COVID-19 ที่ทำให้หลายจังหวัดถึงขั้นต้อง Lockdown และมีการใช้มาตรการต่างๆ เพิ่มเติมขึ้นมาในเขต กรุงเทพและปริมณฑล ส่วนเรื่องดีก็น่าจะเป็นเรื่องของการจัดหา วัคซีน ไทยเราก็มีการจัดหามาอยู่ 2 ตัว คือ Sinovec และ Aztrazenaca ซึ่งเราน่าจะได้รับ Sinovac ก่อนในช่วงกลางเดือนก.พ.สำหรับเรื่องวัคซีน
ผมก็อยากคุยเพิ่มนิดหนึ่งคือ ณ ตอนนี้กำลังจะมีวัคซีนออกมาอีก 2 ตัวคือ จาก Johnson & Johnson ที่เป็นแบบ ฉีด เข็มเดียว และ Novavax จาก US Biotech Co. ที่กำลังจะจบ Phase 3 ในเดือน กุมภาพันธ์ น่าจะทำให้ความตึงเครียดจากความต้องการวัคซีนในโลก ผ่อนคลายลง และเป็นอันทราบโดยทั่วกันว่าภายในปีนี้จะมีวัคซีนออกมาอีกหลายตัว ดังนั้นที่คาดการกันว่าทั้งโลกจะได้วัคซีนครบในปลายปีหน้า ก็อาจจะลดลงมาเหลือแค่กลางปีหน้าก็เป็นได้
ผมเห็นอะไรจากภาวะการลงทุนในขณะนี้ ประการแรก คือ การปรับฐานของตลาด หุ้นทั่วโลกที่เกิดขึ้น จากระดับ ราคาที่ปรับขึ้นมา อย่างร้อนแรงเกินไป ทำให้เกิดการขายทำกำไร ก่อนผลประกอบการที่จะประกาศออกมา และเป็นการปรับ รอบแบบการลงทุนในรอบใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลัง COVID-19 ซึ่งผมเห็นว่า กลุ่มอาหารและสาธารณสุข กลุ่ม Cyclical Stock กลุ่ม ไฟฟ้า และพลังงาน รวมทั้งบรรจุภัณฑ์ น่าจะได้ประโยชน์
สำหรับภาพต่างประเทศผมยังคงให้น้ำหนักเชิงบวกกับ หุ้นกลุ่ม New Normal และ Megatrend แต่ด้วยระดับราคาที่ร้อนแรงและการปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผมคิดว่านักลงทุนควรที่จะต้องปรับเข้าสู่หุ้นกลางและเล็กซึ่งมีโอกาสที่จะมีการเติบโตที่สูงกว่า และควรเน้นไปที่กลุ่ม Food & Health care Technology
ขณะเดียวกันผมเริ่มให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียมากขึ้น เนื่องจากนโยบายของคุณ โจ ไบเดน เน้น มิตร มากกว่าศัตรู ก็คงทำให้ภาพการค้าและการลงทุนระหว่างสหรัฐฯ กับจีนน่าจะผ่อนคลายลงและส่งผลดีต่อประเทศกลุ่มเอเชียทั้งหมด ดังนั้น สำหรับการลงทุนในระยะกลางถึงยาว ประเทศที่น่าสนใจ ได้แก่ จีน เวียดนาม และ ญี่ปุ่น ครับ