‘ดาวโจนส์’ปิดบวกในกรอบแคบ 61 จุด
‘ดาวโจนส์’ปิดบวกในกรอบแคบ 61 จุด ขานรับผลประกอบการบริษัทอเมริกันสดใส
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดวันพุธ (10ก.พ.)ปรับตัวขึ้น 61 จุด ขานรับผลประกอบการที่สดใส และตัวเลขเงินเฟ้อที่สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 61.97 จุด หรือ 0.20% ปิดที่ 31,437.80 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี500 ลดลง 1.35 จุด หรือ 0.03% ปิดที่ 3,909.88 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 35.16 จุด หรือ 0.25% ปิดที่ 13,972.53 จุด
หุ้นของบริษัท ทวิตเตอร์ อิงค์ และโคคา โคลาต่างดีดตัวขึ้น หลังเปิดเผยตัวเลขผลประกอบการที่สูงกว่าคาดในไตรมาส 4/2563
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนม.ค. หลังจากดีดตัวขึ้น 0.4% ในเดือนธ.ค.
เมื่อเทียบรายปี ดัชนีซีพีไอพุ่งขึ้น 1.4% หลังจากเพิ่มขึ้น 1.4% เช่นกันในเดือนธ.ค.
ดัชนีซีพีไอยังคงอยู่ในระดับต่ำในเดือนม.ค. โดยถูกกดดันจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งได้กระทบต่อตลาดแรงงานและภาคบริการ
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนีซีพีไอเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายเดือน และ 1.5% เมื่อเทียบรายปี
นักลงทุนยังคงจับตาความคืบหน้าเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ
ทั้งนี้ พรรคเดโมแครตประสบความสำเร็จในการผลักดันให้สภาคองเกรสให้ความเห็นชอบต่อแนวทางการพิจารณาอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดนแบบฟาสต์แทร็ก โดยใช้แนวทางการจัดทำงบประมาณที่เรียกว่า budget reconciliation ซึ่งจะปูทางให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสามารถให้การรับรองงบประมาณดังกล่าวด้วยคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง แทนที่จะใช้คะแนนเสียง 2 ใน 3 สำหรับการผ่านกฎหมายทั่วไป และทำให้ปธน.ไบเดนสามารถผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว โดยไม่จำเป็นต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรครีพับลิกัน
ด้านนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ คาดการณ์ว่า สภาคองเกรสจะสามารถลงมติให้การอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเยียวยาชาวสหรัฐและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก่อนวันที่ 15 มี.ค. ซึ่งเป็นวันที่มาตรการช่วยเหลือผู้ว่างงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จะหมดอายุลง