'ลำไยสกัดเข้มข้น' ตำรับสมุนไพร ลดปริมาณไวรัสเข้าสู่ร่างกาย
เภสัชฯ จุฬาฯ จับมือ University of Innsbruck และ ADSI วิจัยการนำลำไยสกัดเข้มข้นด้วยกรรมวิธีพิเศษ พัฒนาเป็นสูตรตำรับสมุนไพรพ่นลำคอและจมูกลดปริมาณไวรัสที่เกาะติดเยื่อบุและลดปริมาณไวรัสที่อาจเข้าสู่ร่างกาย
การใส่หน้ากากอนามัยและล้างมือบ่อยๆ เป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา แม้จะปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดก็อาจเกิดการติดเชื้อได้เนื่องจากต้องมีการปลดหน้ากากอนามัยขณะรับประทานอาหาร ที่สำคัญเชื้อไวรัสมักจะปนเข้ามากับอากาศและเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและปาก การรับประทานสมุนไพรเพิ่มภูมิคุ้มกันอาจเป็นข้อจำกัดในคนบางกลุ่ม เช่น ผู้มีโรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุ ดังนั้นวิธีป้องกันการติดเชื้อไวรัสเฉพาะที่ด้วยสมุนไพรที่มีความปลอดภัยจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย ศ.ภญ.ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ ภาควิชาเภสัชกรรมปฎิบัติ ได้ร่วมมือกับ University of Innsbruck และ ADSI ประเทศออสเตรีย ประสบความสำเร็จในการศึกษาวิจัย การนำลำไยสกัดเข้มข้นด้วยกรรมวิธีพิเศษมาพัฒนาเป็นสูตรตำรับสมุนไพรพ่นลำคอและจมูก สามารถลดปริมาณไวรัสที่เกาะติดเยื่อบุและลดปริมาณไวรัสที่อาจเข้าสู่ร่างกายได้ เหมาะสำหรับการนำมาใช้ป้องกันการติดเชื้อไวรัสทุกชนิด รวมทั้งไวรัสโควิด-19โดยลำไยสกัดเข้มข้นด้วยกรรมวิธีพิเศษ (P80)
ได้ผ่านการทดสอบแล้วว่าสามารถลดการยึดเกาะของเชื้อไวรัสที่เยื่อบุอ่อน ไม่ว่าจะเป็นที่โพรงจมูกและลำคอได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถลดการสร้าง complementary C3a ซึ่งเป็นสาร ก่อการอักเสบที่รุนแรงในปอดได้ นับเป็นสมุนไพรตัวแรกที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการลดการติดเชื้อที่โพรงจมูกและลำคอได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง ผลการศึกษาพบว่า ฤทธิ์ดังกล่าวสามารถอยู่ได้นานถึง 2 วัน ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาประสิทธิภาพในผู้ป่วยจริงทางคลินิก โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ
ศ.ภญ.ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ อาจารย์นักวิจัยผู้พัฒนาสมุนไพรพ่นจมูกและลำคอ จากลำไยสกัดเข้มข้นด้วยกรรมวิธีพิเศษเพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 เปิดเผยถึงเหตุผลที่สนใจนำสารสกัดลำไยมาพัฒนาเป็นสูตรตำรับสมุนไพรดังกล่าวว่า เนื่องจากลำไยเป็นผลไม้ที่เรานำมารับประทานเป็นอาหารอยู่แล้วจึงมีความปลอดภัยสูง เมื่อศึกษาตำราแพทย์แผนโบราณระบุว่าลำไยสามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ จึงได้ศึกษาวิจัยสารสกัดลำไยจนพบว่าสามารถลดการยึดเกาะเชื้อไวรัสและมีฤทธิ์ต่อเชื้อไวรัสแทบทุกชนิด โดยได้ทำการทดสอบไปแล้วกับเชื้อไวรัสหลายประเภท เช่น เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ เชื้อที่ก่อให้เกิดโรคเริม ฯลฯ ซึ่งได้ผลมีประสิทธิภาพดีกับเชื้อไวรัสทุกชนิดที่ทำการทดสอบ
สำหรับกระบวนการในการทำวิจัย ศ.ภญ.ดร.พรอนงค์ กล่าวว่า เริ่มจากการเลือกสารสกัดลำไยที่มีสารสำคัญในกลุ่มโพลีฟีนอลในปริมาณสูง ซึ่งเป็นสารสกัดลำไยที่ผ่านกระบวนการสกัดพิเศษ ด้วยอุณหภูมิต่ำภายใต้ความดันสูงและผ่านการกรองหลายครั้งจนได้สารสกัดที่มีความเข้มข้นของสารสำคัญ จากนั้นจึงนำมาตั้งสูตรตำรับสำหรับพ่นจมูกและลำคอเพื่อให้มีความหนืดและค่าความตึงตัวที่เหมาะสม เมื่อพ่นเข้าไปในโพรงจมูกและลำคอแล้วไม่ระคายเคือง ที่สำคัญต้องสามารถให้ขนาดละอองที่พอเหมาะ สามารถเข้าไปถึงอวัยวะที่ต้องการออกฤทธิ์ได้ ถ้าพ่นที่โพรงจมูก ต้องขนาดเล็กพอให้ทั่วโพรงจมูกแต่ไม่เล็กจนทำให้เข้าสู่ปอด ถ้าพ่นลำคอ ต้องให้สามารถให้ละอองถึงด้านในลำคอได้โดยไม่ติดที่ปาก ลิ้น และฟัน เมื่อศึกษาความคงตัวของสูตรตำรับแล้วจึงนำมาทดสอบทางคลินิกเพื่อดูประสิทธิภาพในผู้ป่วยจริง
ศ.ภญ.ดร.พรอนงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปริมาณการใช้สารสกัดลำไยที่เข้มข้นสำหรับป้องกันการติดเชื้อไวรัสนั้นใช้เพียงปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น สามารถใช้สารสกัดนี้พ่นได้ทั้งลำคอและช่องจมูก วันละ 2 ครั้งเช้าเย็น ซึ่งสามารถออกฤทธิ์ได้ทันที ทั้งการออกฤทธิ์ทางกายภาพคือป้องกันการยึดเกาะของเชื้อไวรัสต่อเยื่อบุผิว และการออกฤทธิ์ทางชีวภาพเพื่อป้องกันการเกิดสารก่อการอักเสบ ในกรณีที่ผู้ใช้ต้องเดินทางไปในสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ที่ๆ มีคนแออัด ก็สามารถใช้พ่นจมูกหรือลำคอก่อนเข้าสู่บริเวณดังกล่าวแล้วจึงสวมหน้ากากอนามัย
“เราทำวิจัยเรื่องนี้มาประมาณ 1 ปีครึ่งแล้ว ตั้งแต่ยังไม่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยทดสอบกับเชื้อไวรัสอื่น เมื่อมีการระบาดของเชื้อโรคนี้ จึงเริ่มนำมาทดสอบกับเชื้อโควิด ขณะนี้อยู่ในระหว่างการทดสอบทางคลินิกในอาสาสมัครจำนวน 62 ราย โดยมีความร่วมมือทางวิชาการกับโรงพยาบาลวิภารามชัยปราการ คาดว่าอีก 3 เดือนผลิตภัณฑ์น่าจะออกสู่ท้องตลาดได้” ศ.ภญ.ดร.พรอนงค์ กล่าวทิ้งท้าย