กระทิงแดง ปั๊มพอร์ตนอน-เอ็นเนอร์ยีดริ้งค์ ส่งแมนซั่มฯชิงที่ 3 วิตามิน วอเตอร์
เครื่องดื่มชูกำลังพอร์ตโฟลิโอใหญ่ แต่เติบโตต่ำ สวนทางเครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริ้งค์ ที่มาแรง รับเทรนด์ผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพ และโรคโควิด-19 ทำให้คนดื่มน้ำผสมวิตามินโตพุ่ง ทีซีพีจึงชักธงรบ ลุยนอนเอ็นเนอร์ยีดริ้งค์ ส่งแมนซั่ม ชิงที่ 3 วิตามิน วอเตอร์
ยังคงเป็นสมรภูมิแดงเดือดอย่างต่อเนื่อง สำหรับตลาด “น้ำผสมวิตามิน” เพราะมีบิ๊กคอร์ป แบรนด์เล็กใหญ่ตบเท้าเข้ามาทำตลาดอย่างกันเพิ่ม ล่าสุดเป็นคิวของ “ยักษ์ใหญ่” อย่าง กลุ่มธุรกิจทีซีพี หรือค่ายกระทิงแดง เป็นแบรนด์ที่ 9 เข้ามาแบ่งเค้ก
ประไพภักตร์ ไวเกิล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดโกลเบิล (F&B) กลุ่มธุรกิจทีซีพี(TCP) ในฐานะที่กุมบังเหียนธุรกิจที่ไม่ใช่เครื่องดื่มให้พลังงานหรือ นอน-เอ็นเนอร์ยี ดริ้งค์ มีนโยบายสร้างการเติบโตให้กับเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพหรือฟังก์ชั่นนอลดริ้งค์ โดยเฉพาะแบรนด์ “แมนซั่ม” ที่เป็นพระเอกบุกเบิกตลาดจนกลายเป็น “ผู้นำ” มีส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า 40%
เมื่อแบรนด์ที่แข็งแกร่ง มีฐานผู้บริโภคเป็นชาย 82% และครองใจผู้หญิงได้ 18% จึงใช้ต่อยอดสู่ตลาดน้ำผสมวิตามิน “แมนซั่ม วิตามิน วอเตอร์” แม้จะออกตัวช้า แต่จุดแข็งไม่ได้มีแค่แบรนด์ ยังมี “ทุนหนา” จึงทุ่มงบประมาณ 150 ล้านบาท เพื่อทำการตลาดครบวงจรทั้งออฟไลน์และออนไลน์ แจกสินค้าตัวอย่างชิมอีก 1 ล้านเสิร์ฟ สร้างประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์ เกิดการทดลองสินค้า
ปัจจุบันทุกแบรนด์วิตามิน วอเตอร์ มี “พรีเซ็นเตอร์” เป็นแม่เหล็กสร้างการรับรู้ เจาะใจกลุ่มเป้าหมาย “แมนซั่ม วิตามิน วอเตอร์” ต้องสู้ ดึง “ไมค์ พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล” สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย เพระเป็นคนที่มีฐานแฟนคลับติดตามกว่า 17 ล้านราย(Followers) บนสื่อสังคมออนไลน์ เช่น อินสตาแกรม 3.5 ล้านราย ติ๊กต็อก 2.4 ล้านราย เฟซบุ๊ก 1.6 ล้านราย เป็นต้น
นอกจากนี้ สิ่งที่เป็นกระดูกเหล็กของ แมนซั่ม วิตามิน วอเตอร์ คือการมี “เดอเบล” บริษัทจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าที่จะเข้าถึงร้านค้าทั่วไทย โดยเฉพาะช่องทางร้านค้าทั่วเจาะผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง โดยอาศัยสินค้าขนาด 475 มิลลิลิตร(มล.) ราคา 15 บาท เป็นตัวชูโรง ส่วนร้านสะดวกซื้อใช้สินค้าขนาด 480 มล. ราคา 17 บาท ตอบโจทย์ผู้บริโภค
มาทีหลังแต่หวังสินค้าและแบรนด์ที่ “ทรงพลัง” จะทำให้บริษัทชิงส่วนแบ่งตลาดน้ำผสมวิตามินที่ 15% ก้าวเป็น “เบอร์ 3” ในปีแรก
“โจทย์ปีนี้เราตั้งเป้าผลักดันแมนซั่ม วิตามิน วอเตอร์ให้ติดท็อป 3 ด้วยอาวุธการตลาด และความแข็งแกร่งในการกระจายสินค้า เรามั่นใจว่าจะทำได้”
รายงานข่าวระบุว่า สิ้นปี 2563 ผู้นำตลาดวิตามิน วอเตอร์ยังคงเป็น “ยันฮี วิตามิน วอเตอร์” ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 37% ตามด้วยวิต อะ เดย์ 34% บลู 13% และอิชิตัน(รวมน้ำด่าง) 9%
สำหรับภาพรวมตลาดวิตามิน วอเตอร์ปี 2563 มีมูลค่า 2,200 ล้านบาท เติบโต 79% ส่วนแนวโน้มปี 2564 คาดการณ์ตลาดจะแตะที่ 3,500 ล้านบาท เติบโต 59% แต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา กลับสร้างการเติบโตถึง 76% สูงกว่าที่คาดการณ์ ขณะที่ปี 2565 คาดว่าตลาดจะโต 43% มูลค่าแตะ 5,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ พฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนจากดื่มน้ำเปล่ามาดื่มน้ำผสมวิตามินมากขึ้น เทรนด์ดังกล่าว ทำให้บริษัทเน้นทำตลาดโดยขายสินค้ายกลังเพื่อไว้ดื่มที่บ้านหรือ Home Stocking ด้วย
“ผู้บริโภคมีการสวิทช์ดื่มวิตามินวอเตอร์ แทนที่การดื่มน้ำเปล่า น้ำแร่ และระยะเวลาเพียงไม่นานทำให้สัดส่วนน้ำผสมวิตามินมากกว่า 10% ส่วนเทรนด์ในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น วิตามิน วอเตอร์ มีสัดส่วน 40-50% เทียบกับน้ำดื่ม สิงคโปร์ มาเลเซีย ก็มีสัดส่วนที่สูง แต่ตลาดใช้เวลาเป็น 10 ปี ต่างจากประเทศไทยที่ตลาดเติบโตเร็ว”
อย่างไรก็ตาม การให้น้ำหนักทำตลาดสินค้านอน-เอ็นเนอร์ยี ดริ้งค์มากขึ้น ไม่เพียงแมนซั่ม วิตามิน วอเตอร์ แต่ยังมี “ไฮ่!” วิตามินซีแบบช็อตด้วย ผลักดันให้ผู้บริโภคดื่มแทนน้ำผลไม้ ปัจจุบัน “ไฮ่!” เป็นเบอร์ 3 มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 10% ในช่องทางร้านค้าทั่วไป โดยแนวโน้มผู้บริโภครักสุขภาพมาแรง รวมถึงผลกระทบจากโรคโควิด-19 ที่ทำให้ผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพยิ่งขึ้้น กลายเป็นปัจจัยผลักดันตลาดให้เติบโต สวนทางกับตลาดเครื่องดื่มชูกำลังซึ่งเติบโตเพียง 1 หลัก แต่พอร์ตโฟลิโอดังกล่าวสำคัญมาก เพราะเป็นธุรกิจหลักที่สร้างรายได้สัดส่วนใหญ่
“เราต้องทำให้นอน-เอ็นเนอร์ยีดริ้งค์เติบโตควบคู่กับเครื่องดื่มชูกำลัง”