ลุ้นเปิดประเทศ1เม.ย. หุ้นตัวไหนได้ประโยชน์?
หลังจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่องจากหลักร้อยมาเป็นหลักสิบ รวมทั้งความคืบหน้าในการกระจายวัคซีนโควิดที่เริ่มฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยงในหลายพื้นที่
นำมาซึ่งความหวังว่าในไม่ช้าเราจะกลับมาเปิดประเทศได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกครั้ง แต่สุดท้ายแล้วจะได้เปิดหรือไม่ได้เปิด? และถ้าเปิดจะมีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง? คงต้องขึ้นอยู่กับการประชุมของ ศบค. ชุดใหญ่ ในวันศุกร์นี้ (19 มี.ค.) ที่จะมีการพิจารณาวาระการเปิดประเทศ
โดยกระทรวงสาธารณสุขเสนอให้เปิดรับนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศความเสี่ยงต่ำแบบมีเงื่อนไข ตั้งแต่ 1 เม.ย. นี้ โดยกำหนดให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดส เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทยต้องสวอปหาเชื้อก่อนเป็นครั้งแรก จากนั้นเข้ากักตัวในโรงแรมที่เข้าร่วมโครงการ Area Quarantine เป็นเวลา 7 วัน จึงจะสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวในพื้นที่อื่นๆ ได้
ส่วนนักท่องเที่ยวที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน เมื่อมาถึงต้องสวอปหาเชื้อก่อน แล้วเข้ากักตัวใน Area Quarantine เป็นเวลา 10 วัน ก่อนสวอปหาเชื้อครั้งที่ 2 ถึงจะสามารถออกไปท่องเที่ยวได้
ขณะที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเตรียมที่จะเสนอให้เปิดรับนักท่องเที่ยวเพิ่มเติม ในกลุ่มประเทศเสี่ยงกลางอีกกว่า 70 ประเทศ เช่น เยอรมนี, อิตาลี, จีน, ญี่ปุ่น, อินเดีย ฯลฯ หวังให้ทันก่อนช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลสงกรานต์
พร้อมเสนอโมเดลแซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่ต้องกักตัวในพื้นที่ 6 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ ชลบุรี, เชียงใหม่, ภูเก็ต, กระบี่, พังงาน และสุราษฎร์ธานี ภายใต้เงื่อนไขต้องฉีดวัคซีนให้แก่ประชากรในพื้นที่คิดเป็นสัดส่วน 70% ของจำนวนประชากรทั้งหมด
ซึ่งแนวทางต่างๆ ที่จะมีการนำเสนอนั้น ดูแล้วน่าจะเป็นข่าวดีสำหรับภาคการท่องเที่ยวไทย แต่ในทางปฎิบัติต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่และคนไทยทั้งประเทศเป็นหลัก จึงต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างรัดกุมและรอบคอบมากที่สุด ต้องหาจุดสมดุลระหว่างการฟื้นเศรษฐกิจและความปลอดภัยของประชาชน
ความหวังเรื่องการเปิดประเทศและสถานการณ์โรคระบาดที่เริ่มคลี่คลาย ช่วยหนุนให้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวและกลุ่มวัฏจักร (Cyclical Stock) ฟื้นตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจุดต่ำสุดน่าจะผ่านพ้นไปแล้ว ปีนี้น่าจะเป็นภาพของการเทิร์นอะราวด์
อย่างหุ้นสนามบินด่านหน้าในการรับนักท่องเที่ยว บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ราคาหุ้นปีนี้ปรับขึ้นมาแล้ว 10.84% จากราคาปิดปี 2563 ที่ 62.25 บาท มาปิดการซื้อขายล่าสุด 69 บาท ส่วนหุ้นสายการบิน บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV เพิ่มขึ้น 16.95% จาก 2.36 บาท มาอยู่ที่ 2.76 บาท โดยไทยแอร์เอเชียเตรียมกลับมาเปิดให้บริการเส้นทางบินในประเทศครบทั้ง 40 เส้นทาง ในวันที่ 1 เม.ย. นี้
ขณะที่กลุ่มโรงแรม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT พุ่งแรง 17.47% จาก 25.75 บาท มาอยู่ที่ 30.25 บาท ทำนิวไฮในรอบกว่า 1 ปี โดยยอดการเข้าพักในยุโรปเริ่มฟื้นตัว ขณะที่อียูเตรียมเสนอให้มีการใช้พาสปอร์ตดิจิทัลเพื่อเดินทางท่องเที่ยวภายในยุโรปได้ ซึ่ง MINT มีสัดส่วนรายได้ธุรกิจโรงแรมในยุโรปสูงถึง 60%
ส่วนบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW และ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL ที่โรงแรมส่วนใหญ่อยู่ในประเทศ ราคาพุ่งขึ้นแรงเช่นกัน โดย ERW ขยับจาก 3.60 บาท มาอยู่ที่ 4.40 บาท เพิ่มขึ้น 22.22% และ CENTEL ไล่ราคามาตั้งแต่ 23.70 บาท มาปิดล่าสุดที่ 33 บาท เพิ่มขึ้นเกือบ 40% ได้อานิสงส์จากกำลังซื้อในประเทศที่ฟื้นตัว และมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ
นอกจากกลุ่มท่องเที่ยวที่พาเหรดกันขึ้นมาอย่างคึกคัก ยังมีอีกหลายกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากการเปิดประเทศ ทั้งหุ้นโรงพยาบาลที่จะได้รับอานิสงส์จากคนไข้ต่างชาติที่จะกลับเข้ามารักษาพยาบาลในประเทศไทย ส่วนกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมจะได้ประโยชน์จากนักลงทุนต่างชาติที่พร้อมกลับเข้ามาลงทุน ในขณะที่กลุ่มค้าปลีกจะได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว