‘คลองสุเอซ’ อัมพาต ทำสูญรายได้ 400 ล้านดอลล์ต่อชั่วโมง
"คลองสุเอซ" เส้นทางคมนาคมขนส่งคึกคักแห่งหนึ่งในโลก เกิดสะดุด เหตุเรือเอเวอร์กิฟเวนเกิดปัญหา ลอยขวางนานกว่า 4 วันแล้ว ได้สร้างความเสียหายต่อการค้ากว่า 400 ล้านดอลลาร์ต่อชั่วโมง
นิตยสารลอยด์ส ลิสต์ ซึ่งให้ข้อมูลขนส่งทางทะเลรายงานว่า ในเหตุการณ์เรือเอเวอร์กิฟเวน ซึ่งเป็นเรือบรรทุกตู้คอนเทรนเนอร์สินค้าขนาดใหญ่ลอยขวางติดในคลองสุเอซ เมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา สร้างความเสียหายต่อการค้ากว่า 400 ล้านดอลลาร์ต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นประมาณการจากปริมาณการค้าที่ขนส่งผ่านคลองสุเอซทุกวัน
เว็บไซต์ซีเอ็นบีซี อ้างลอยด์ส ลิสต์ ระบุว่า เรือบรรทุกสินค้าที่มุ่งหน้าไปยังตะวันตก มีมูลค่าประมาณ 5.1 พันล้านต่อวัน ส่วนเรือบรรทุกสินค้าที่ไปทางตะวันออก มูลค่าประมาณ 4.5 พันล้านต่อวัน ขณะที่ จอน โกลด์รองประธานฝ่ายซัพพลายเชน และนโยบายศุลกากรของสมาพันธ์การค้าปลีก ชี้ว่า ยิ่งคลองสุเอซไม่สามารถขนส่งได้ตามปกตินานเท่าไร ยิ่งส่งผลต่อการค้าตึงเครียดมากขึ้น
ทั้งนี้ เรือเอเวอร์กิฟเวนลำนี้ บริหารโดยบริษัทเอเวอร์กรีน ของไต้หวันและถือธงปานามา บรรทุกสินค้าอุปโภคบริโภคและมุ่งหน้าไปยังตลาดในทวีปยุโรป โดยสินค้าบรรจุอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ขนาดมาตรฐาน 20,000 ตู้
“สมาชิกกลุ่มการค้ากำลังประสานสายการบิน เพื่อติดตามสถานการณ์และกำหนดกลยุทธ์ในการบรรเทาผลกระทบให้ดีที่สุด” โกลด์ระบุ และกล่าวว่าหลายบริษัทเจอปัญหาในระบบซัพพลายเชนอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดโควิด-19 อยู่แล้ว ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความล่าช้าจะซ้ำเติมห่วงโซ่อุปทานและก่อความท้าทายเพิ่ม
คลองสุเอซ เป็นจุดแยกระหว่างแอฟริกาและเอเชีย ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งสินค้าทางเรือที่คึกคักมากที่สุดในโลก โดยมีการขนส่งสินค้าประมาณ 12% ของปริมาณการค้าโลกผ่านเส้นทางนี้ ไม่ว่าเป็นสินค้าส่งออกด้านพลังงาน เช่น ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ และน้ำมันกลั่นมากถึง 5 - 10% ส่วนอื่นๆ เป็นสินค้าบริโภคตั้งแต่เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ ไปจนถึงอุปกรณ์ชิ้นส่วนรถยนต์
ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เรือหลายสิบลำ ทั้งเรือสินค้าขนาดใหญ่ เรือบรรทุกน้ำมันและก๊าซ เรือบรรทุกข้าวต้องจอดรออยู่ตรงปลายคลองทั้งสองด้าน ส่อแววว่าการขนส่งสินค้าจะติดขัดครั้งใหญ่สุดครั้งหนึ่ง ในรอบหลายปี
ด้านบริษัทที่ปรึกษาวู้ด แม็คเคนซี กล่าวว่า ผลกระทบหนักสุดตกอยู่กับการขนส่งสินค้า รวมถึงเรือบรรทุกน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมัน 16 ลำที่มีกำหนดแล่นผ่านเส้นทางนี้ที่ตอนนี้ต้องล่าช้าออกไป บรรทุกน้ำมันดิบ 870,000 ตัน และผลิตภัณฑ์น้ำมัน อาทิ น้ำมันเบนซิน ดีเซล และแนฟทาอีก 670,000 ตัน
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งทางเรือกล่าวว่า ถ้ายังย้ายเรือไม่ได้ภายใน 24-48 ชั่วโมงข้างหน้า บริษัทชิปปิงบางรายอาจต้องสั่งให้เรือหันหัวกลับไปอ้อมปลายแหลมด้านใต้ของทวีปแอฟริกา ซึ่งต้องเสียเวลาเดินทางนานขึ้นอีกราว 1 สัปดาห์