กรมส่งเสริมสหกรณ์หนุนปลูกกัญชง สร้างกำไรสุทธิ 1.8 หมื่นบาทต่อไร่
กรมส่งเสริมสหกรณ์จับมือกรมวิชาการเกษตรเตรียมสหกรณ์นำร่องผลิตเมล็ดพันธุ์กัญชงป้อนอุตสาหกรรม เบื้องต้น มีกำไรสุทธิ 1.8 หมื่นบาทต่อไร่ ใน 180 วัน
นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับกรมวิชาการเกษตร เพื่อส่งเสริมให้สถาบันเกษตรกรเป็นหน่วยงานปลูกกัญชงเป็นเมล็ดหรือต้น เพื่อป้อนอุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งจะนำร่องในสหกรณ์ที่มีความเหมาะสมทั้งเชิงพื้นที่ และบางสหกรณ์เคยอยู่ในโครงการปลูกกัญชาทางการแพทย์
โดยสหกรณ์ที่มาหารือ ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรคูเมือง จำกัด จังหวัดบุรีรัมย์ สหกรณ์การเกษตรปักธงชัย จำกัด สหกรณ์การเกษตรด่านขุนทด จำกัด จังหวัดนครราชสีมา และสหกรณ์การเกษตรลานสัก จำกัด จังหวัดอุทัยธานี สนับสนุนให้สมาชิกเข้าร่วมโครงการ โดยต้องขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหาร และยา(อย.)
เพื่อให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาตามที่กฎกระทรวง การขออนุญาตและ การอนุญาตการผลิต นำเข้าส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชง(Hemp) พ.ศ.2563 กำหนดไว้ต่อไป ซึ่งอนาคตหากสหกรณ์นำร่องประสบผลสำเร็จก็จะเป็นตัวอย่างให้ขยายไปสถาบันการเกษตรอื่น ๆ เพราะมีตลาดรองรับเนื่องจากเงื่อนไขของการอนุญาตกำหนดไว้ชัดเจนว่าต้องมีตลาดรองรับ มีการแสดงการนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์
“ปัจจุบันภาคอุตสาหกรรม ต้องการกัญชงมากขึ้น เช่น อุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง และน้ำมันเมล็ดกัญชง อาหารสัตว์ ฯลฯ ดังนั้นจึงคาดว่ากัญชงจะเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ ที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและประเทศได้ “
นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า หลังจากกฎหมายเปิดแล้วภาคอุตสาหกรรมหลายแห่งได้แสดงความต้องการที่จะใช้เมล็ดกัญชงและชิ้นส่วนพืชไปป้อนในระบบอุตสาหกรรมในหลายด้าน แต่ในประเทศไม่เคยมีการอนุญาตให้ปลูกมาก่อน
อีกทั้งเมล็ดพันธุ์ที่ขึ้นทะเบียนในไทย เป็นสายพันธุ์ที่ให้เส้นใยเท่านั้น ดังนั้นกรมวิชาการเกษตร จึงต้องการให้สถาบันเกษตรกร ปลูกเมล็ดพันธุ์ในระบบจีเอพี เพื่อป้อนให้กับตลาดในประเทศ โดยร่วมมือกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ หาสหกรณ์นำร่อง และให้สมาชิกแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการ
ทั้งนี้กรมวิชาการเกษตรจะประสานกับองค์การอาหารและยา(อย.)ในการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป รวมทั้งจะเป็นพี่เลี้ยงในทางวิชาการปลูก เกษตรกรจะต้องเริ่มดำเนินการในช่วงฤดูฝน ส่วนพื้นที่อื่น ๆ ที่ต้องการปลูกนั้นจะเป็นระยะต่อไป
โดยขณะนี้กรมอยู่ระหว่างการจัดทำแผนที่แสดงให้เห็นว่า พื้นที่ใดมีศักยภาพในการปลูกออกมา ซึ่งจะมาจากลักษณะดิน อากาศ ปริมาณน้ำฝน เป็นเกณฑ์พิจารณาส่วนมากเป็นพื้นที่ใกล้เคียงกับพื้นที่ปลูกข้าวโพด และคาดว่าประมาณปลายปี 2564 เมื่อมีผลผลิตชุดนี้ออกมาจะนำมาสู่การขยายการส่งเสริมการปลูกเพื่อป้อนระบบอุตสาหกรรมต่อไป
เบื้องต้นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายแห่งได้แจ้งความประสงค์ว่าต้องการผลิตภัณฑ์เหล่านี้เข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมและพร้อมที่จะรองรับผลผลิตที่ออกมา ปัจจุบันเมล็ดกัญชงราคาจำหน่ายประมาณกิโลกรัมละ 5,000 บาท มีประมาณ 40,000 – 50,000 เมล็ดต่อกิโลกรัม
สำหรับในการประชุมตัวแทนสหกรณ์ทั้ง 4 แห่งที่มาร่วมหารือ แสดงความสนใจที่จะเข้าโครงการ และต้องการการสนับสนุนด้านเงินทุนดอกเบี้ยต่ำจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธกส.) หรือกองทุนพัฒนาสหกรณ์(กพส.)ของกรมส่งเสริมสหกรณ์
โดยกรมวิชาการเกษตรได้จำแนกต้นทุนการผลิตที่กรมได้มีการเก็บข้อมูลไว้เบื้องต้นพอสังเขปพบว่า ต้นทุนการผลิตต่อไร่กรณีผลิตเป็นเมล็ดจะอยู่ที่ประมาณ 8,242.18 บาทต่อไร่ รายได้ประมาณ 26,250 บาทต่อไร่ กำไรสุทธิประมาณ 18,007.82 บาทต่อไร่ สำหรับต้นทุนต้นสดอยู่ที่ประมาณ 9,028 .82 บาทต่อไร่ รายได้ต่อไร่ประมาณ 22,500 บาท กำไรสุทธิประมาณ 12,471.18 บาทต่อไร่ ระยะเวลาการผลิต 180 วัน