โควิดระลอก 3 รัฐต้องไม่เกี่ยงวันหยุด
การแพร่ระบาดโควิด-19 รอบใหม่ ที่แพทย์บางสำนักชี้ว่าคือการระบาดระลอกที่ 3 จากคลัสเตอร์สถานบันเทิง กำลังสร้างความแตกตื่นไปทุกวงการ ดังนั้นรัฐบาลต้องกระชับอำนาจรวมศูนย์บัญชาการด้วยตัวเองให้ชัดเจน ขณะที่กระทรวง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำงานหนักกว่าเดิม
รายงานจากศูนย์ข้อมูลโควิด-19 ถึงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด ประจำวันที่ 6 เม.ย.2564 ประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 250 ราย ติดเชื้อในประเทศ 245 ราย แบ่งเป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 90 ราย การค้นหาเชิงรุกในชุมชน 155 ราย และติดเชื้อจากต่างประเทศ 5 ราย รวมยอดผู้ป่วยสะสม 29,571 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิตสะสม 95 ราย ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 27,948 ราย และผู้ป่วยที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,528 ราย เป็นตัวเลขที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะยอดผู้ติดเชื้อในรอบ 7 วันที่ผ่านมา
นับเป็นการแพร่ระบาดโควิดรอบใหม่ ที่ครั้งก่อนภาครัฐไม่ยอมรับว่าเป็นการแพร่ระบาดในรอบที่ 2 วันนี้มีนายแพทย์บางสำนักออกมาระบุว่านี่คือการระบาดระลอกที่ 3 เนื่องจากเป็นไปตามเงื่อนไข ผู้ติดเชื้อไม่มีอาการกระจายไปทั่ว อยู่ในช่วงรอสัญญาณสุดท้ายการออกอาการที่ต้องเข้าโรงพยาบาล ซึ่งเป็นอาการหนัก เราเห็นด้วยกับมุมมองดังกล่าว และหวังว่าเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์เตือนสติประชาชน บุคคลที่ยังใช้ชีวิตประจำวันที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะนักเที่ยวสถานบันเทิงจะได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่ ขณะเดียวกันน่าจะเป็นข้อมูลให้ภาครัฐพิจารณาปรับใช้
คลัสเตอร์สถานบันเทิงที่กลับมาเป็นแหล่งระบาดหนักกำลังสร้างความแตกตื่นไปทุกวงการ มาตรการที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เสนอยกระดับมาตรการควบคุมโควิดด้วยการแบ่งโซนพื้นที่ โดยกำหนดให้กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และนครปฐม เป็นพื้นที่สีแดง หรือกำหนดผับ บาร์ เปิดได้แค่เวลา 21.00 น. อาจจะไม่เพียงพออีกต่อไป เช่นเดียวกับแผนการปิดผับบาร์ที่พบผู้ป่วยโควิด โดยเสนอปิดเพียง 2 สัปดาห์ ที่จะเสนอให้ ศบค.ชุดเล็กเห็นชอบวันที่ 7 เม.ย.นี้ อาจจะต้องเพิ่มความเข้มข้นในการปิดและควบคุม
ยังมีประเด็นประเทศไทยกำลังเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ ซึ่งความเสี่ยงมีมากกว่าปกติ และอาจจะมากกว่าประเทศอื่น เป็นเทศกาลที่คนไทยการเดินทางและมีการสังสรรค์กันทุกหัวระแหง เป็นแนวโน้มที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าสงกรานต์ปีนี้จะมีการแพร่ระบาดรุนแรงอย่างแน่นอน เราเห็นว่าสถานการณ์โควิดเข้าสู่ภาวะวิกฤติเต็มตัวอีกครั้ง รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีต้องกระชับอำนาจรวมศูนย์บัญชาการด้วยตัวเองให้ชัดเจน และยังเห็นมีความจำเป็นที่กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำงานหนักกว่าเดิม โดยไม่เกี่ยงว่าเป็นวันหยุด
การสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ เลี่ยงสถานที่เสี่ยง และดูแลร่างกายให้แข็งแรง วันนี้อาจจะยังไม่พอกับสถานการณ์ ทุกคนต้องให้ความร่วมมือและรับผิดชอบต่อผู้อื่น ภาครัฐเองก็ต้องประเมินความตื่นตระหนกของผู้คนต่อการแพร่ระบาดรอบนี้ให้ทันกาล หากเห็นว่าเป็นภาวะวิกฤติก็ต้องเรียกประชุมด่วน แม้จะเป็นวันหยุดราชการ อย่าให้ประชาชนคาดเดาสถานการณ์จากโลกโซเชียลที่อาจสร้างความสับสน เมื่อวานนี้ (6 เม.ย.) ซึ่งเป็นวันหยุด เราเห็นว่าข้อมูลข่าวสารจากทางการมีน้อยเมื่อเทียบกับปัญหา เราเห็นว่าอย่างน้อยผู้มีอำนาจต้องมอบหมายผู้ที่เกี่ยวข้องตั้งโต๊ะแถลงข่าว โดยไม่ต้องรอให้ถึงวันทำการ