กู้วิกฤติเกลียดชัง 'เอเชีย' บทพิสูจน์ความสามารถสหรัฐ
กู้วิกฤติเกลียดชังเอเชีย: บทพิสูจน์ความสามารถสหรัฐ ขณะที่การก่ออาชญากรรมจากความเกลียดชังที่มีต่อชาวเอเชียที่มีรายงานถึงกรมตำรวจเพิ่มขึ้นเกือบ 150% ใน 16 เมืองใหญ่สุดในสหรัฐ
อาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชังในสหรัฐยังคงพุ่งเป้าไปที่พลเมืองเชื้อสายเอเชีย และมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติลง นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และกระแสเกลียดชังที่ว่านี้เกิดขึ้นในช่วงที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐต้องการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ของสหรัฐกับภูมิภาคเอเชียที่ย่ำแย่ลงในยุคสมัยของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ภารกิจสำคัญนี้ของรัฐบาลใหม่สหรัฐยากลำบากมากและท้าทายมากขึ้น
ช่วงที่ไม่กี่วันที่ผ่านมา มีกรณีที่ชาวเอเชียถูกทำร้ายในสหรัฐเพิ่มขึ้นอีกหลายคดี เช่น กรณีของหญิงเชื้อสายเอเชียถูกทำร้ายนอกอพาร์ตเมนต์ในนครนิวยอร์ก หญิงชราเชื้อสายเอเชียถูกทำร้ายในซานฟรานซิสโก และร้านสะดวกซื้อสัญชาติเกาหลีแห่งหนึ่งในนอร์ทแคโรไลนาถูกบุกรุกและทำลายข้าวของโดยผู้ก่อเหตุตะโกนด่าทอว่านี่คือสิ่งที่เขาควรได้รับในฐานะเป็นพวกคนจีน
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับความรุนแรงต่อพลเมืองเชื้อสายเอเชียพุ่งสูงขึ้นเมื่อเดือนที่ผ่านมา หลังจากเกิดเหตุกราดยิงในสปา 3 แห่งในรัฐจอร์เจีย ส่งผลให้มีหญิงเอเชียเสียชีวิตถึง 6 ราย แม้ผู้ก่อเหตุจะปฏิเสธว่าแรงจูงใจไม่ได้มาจากความเกลียดชังด้านเชื้อชาติก็ตาม
และถึงแม้ปีที่แล้ว การก่ออาชญากรรมจากความเกลียดชังโดยรวมในสหรัฐจะลดลงแต่จากข้อมูลของศูนย์ศึกษาด้านความเกลียดชังและอคตินิยมสุดขีดมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ระบุว่า และการก่ออาชญากรรมจากความเกลียดชังที่มีต่อชาวเอเชียที่มีรายงานถึงกรมตำรวจกลับเพิ่มขึ้นเกือบ 150% ใน16 เมืองใหญ่สุดในสหรัฐ
เรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาภายในประเทศของสหรัฐเท่านั้นแต่ยังสะท้อนถึงความล้มเหลวของสหรัฐในการทำตัวเป็นตำรวจโลกตรวจตราพฤติกรรมด้านสิทธิมนุษยชนประเทศอื่นๆ แต่ในบ้านของตัวเองก็มีปัญหาด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนซุกไว้ใต้พรมมากมายเช่นกัน
เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา สำนักงานข้อมูลสภาแห่งรัฐของจีน ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนของสหรัฐในปี 2563 เพราะผลพวงจากความพยายามในการต่อต้านการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ล้มเหลวทำให้ความแตกแยกทางสังคมย่ำแย่ลง ส่งผลให้เกิดความวุ่นวายทางการเมืองและการเหยียดผิวอย่างรุนแรงมากขึ้น จนถือได้ว่าปี 2563 เป็นปีตกต่ำที่สุดสำหรับประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนอเมริกัน
เอกสารได้ให้รายละเอียดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกักกันโรคระบาดที่ล้มเหลวของรัฐบาลวอชิงตัน ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าเศร้า ความผิดปกติของประชาธิปไตยอเมริกันที่ก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายทางการเมือง ชนกลุ่มน้อยที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ ความไม่สงบในสังคมที่คุกคามความมั่นคงสาธารณะอย่างต่อเนื่อง การแบ่งขั้วระหว่างคนรวยและคนจนที่ซ้ำเติมสังคม เกิดความไม่เท่าเทียมกัน และการที่สหรัฐเหยียบย่ำกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศ ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติด้านมนุษยธรรม
ข้อมูลด้านสิทธิมนุษยชนที่แย่ลงของสหรัฐชิ้นนี้ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนอิสระของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่ได้ยื่นร้องเรียนให้รัฐบาลใหม่ของสหรัฐ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ทำการปฏิรูปเพื่อยุติความรุนแรงของตำรวจ และจัดการกับปัญหาการเหยียดผิวในสังคมอย่างจริงจัง
“กระแสเกลียดชังชาวเอเชียในสหรัฐกำลังบั่นทอนความสามารถของสหรัฐในการทำหน้าที่สนับสนุนสิทธิมนุษยชนทั่วโลก ทั้งยังเปิดโอกาสให้บรรดาผู้ที่เห็นต่างทางการเมืองกับสหรัฐ ไม่สนใจที่จะแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนของตัวเองอย่างจริงจัง” อินเน โคคาส นักวิชาการด้านความสัมพันธ์สหรัฐ-จีน จากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย กล่าว
ขณะที่ แอนดรูว์ นาธาน ศาสตราจารย์คณะจีนศึกษามหาวิทยาลัยโคลัมเบีย มีความเห็นว่า การผงาดขึ้นมามีบทบาทอย่างมากในเวทีโลกของจีน ทำให้สหรัฐกลัว แต่นักการเมืองอเมริกันบางคนก็วาดภาพความน่ากลัวของจีนจนเกินจริงด้วยการบอกว่าจีนเป็นภัยคุกคามวิถีชีวิตของชาวอเมริกัน
นาธาน ยกตัวอย่าง พฤติกรรมและคำพูดของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐและล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ตือวุฒิสมาชิกจอช ฮอว์ลีย์ จากมิสซูรี ที่ทำทุกอย่างโดยมีเป้าหมายทางการเมืองเพื่อให้ได้รับเสียงสนับสนุนจากฐานเสียงที่มีความโกรธแค้นและชาวอเมริกันที่ต้องการทำลายชื่อเสียงของจีนเป็นหลัก
“เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่จะบอกว่ารัฐบาลปักกิ่งจัดการผิดพลาดในเรื่องไวรัสตั้งแต่เริ่มต้นและดำเนินการเรื่องข้อมูลแบบไม่โปร่งใส เพราะฉะนั้น เรามีสิทธิที่จะตำหนิประธานาธิบดีสี จิ้นผิงในเรื่องนี้ได้ แต่ตำหนิว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของประชาชนชาวจีนไม่ได้ และในความเป็นจริงชาวอเมริกันครึ่งล้านต้องมาตายเพราะโรคระบาดนี้ ซึ่งเป็นความผิดของทรัมป์ ไม่ใช่ความผิดของประธานาธิบดีสี” นาธาน กล่าว
ด้าน โรเบิร์ต รอสส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองจากบอสตัน คอลเลจ มีความเห็นว่า การให้ความเห็นเกี่ยวกับอาชญากรรมจากความเกลียดชังที่เกิดขึ้นในสหรัฐของบรรดาผู้นำทางการเมืองเพียงครั้งหรือสองครั้งยังไม่เพียงพอแต่รัฐบาลควรกำหนดเป็นนโยบายที่ชัดเจนที่จะปกป้องหรือให้ความคุ้มครองชาวเอเชียบนแผ่นดินของตน แม้ว่าพรรคเดโมแครตของไบเดนจะกดดันให้ประธานาธิบดีไบเดนดำเนินนโยบายที่แข็งกร้าวต่อจีนแต่ไม่ได้หมายความว่าบรรดานักการเมืองอเมริกันควรเมินเฉยต่อประเด็นปัญหาจีน