'สแกนอินเตอร์' ลุยแผนเคลื่อนธุรกิจ ปั้นรายได้ปีนี้ทะลุ 2.3พันล้าน
“สแกน อินเตอร์” ชนะคดีก๊าซ“อีโค โอเรียนท์” ชดใช้เงินคืนกว่า 40 ล้านบาท เหตุไม่ส่งมอบก๊าซธรรมชาติได้ตามสัญญา เผยโรงไฟฟ้าในเมียนมา ไม่ได้รับผลกระทบทางการเมือง ส่งเงินได้ตามแผน คาดทั้งปี ทะลุ 2.3 พันล้านบาท
นายฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีเอ็น เปิดเผยว่ากรณีข้อพิพาทระหว่าง เอสซีเอ็น กับ บริษัท อีโค โอเรียนท์ รีซอสเซส (ประเทศไทย) จำกัด หรือ อีซีโออาร์ กรณีไม่สามารถส่งมอบก๊าซธรรมชาติได้ตามสัญญา ล่าสุด อนุญาโตตุลาการ ได้มีคำตัดสินให้ เอสซีเอ็น เป็นผู้ชนะคดี เนื่องจากในสัญญาได้ระบุว่า อีซีโออาร์ จะต้องส่งมอบก๊าซธรรมชาติจากหลุมผลิตที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นจำนวน 7 แสนลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เป็นเวลา 10 ปี แต่ที่ผ่านมาบริษัทได้รับมอบก๊าซจาก 2 หลุมผลิตเป็นจำนวนเพียง 2 แสนลูกบาศก์ฟุตต่อวันเป็นเวลา 2 เดือน ก๊าซธรรมชาติก็หมด โดยการชนะคดีของบริษัททำให้อีซีโออาร์ จะต้องจ่ายชดใช้ค่าเสียหายที่ได้ลงทุนไปแล้วประมาณ 40 ล้านบาท คืนให้กับบริษัทฯ
โดย หลังจากนี้ไปอีก 1 เดือน หากอีซีโออาร์ ไม่ยอมจ่ายเงินคืน ก็จะนำคำตัดสินของอนุญาโตตุลากรไปยื่นให้ศาลพิจารณาบังคับคดี ซึ่งในขั้นตอนเมื่อศาลได้รับคำร้องก็จะต้องสั่งบังคับคดีทันที 100% เพราะขั้นตอนการพิสูจน์หลักฐานและการตัดสินคดีความอนุญาโตตุลาการได้ทำไว้หมดแล้ว โดยคาดว่าจะได้รับเงินคืนภายในไตรมาส 2 หรือ 3 เป็นจำนวน 40,712,438.34 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย7.5% ต่อปี นับแต่วันเสนอข้อพิพาทจนกว่าจะชำระให้เสร็จสิ้น ส่วนรายได้จากก๊าซธรรมชาติ 2 แสนลูกบาศก์ฟุตต่อวันในช่วง 2 เดือนมีมูลค่าไม่กี่ล้านบาท และมีกำไรน้อยมาก จึงไม่ได้ส่งผลต่อกำไรให้กับบริษัทในช่วงที่ผ่านมา”
“การชนะคดีในครั้งนี้ ทำให้งบการเงินของบริษัทฯ ดีขึ้น คาดว่าเงินดังกล่าวจะเข้ามาภายในไตรมาส2 และ3 ปีนี้ ซึ่งบริษัทจะมีกระแสเงินสดในการทำธุรกิจเพิ่มขึ้น ปัจจุบันบริษัทได้ยกเลิกสัญญากับทางอีซีโออาร์แล้ว”
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยในไตรมาส 1/2564 พบว่ารายได้ฟื้นตัวชัดเจน เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 458 ล้านบาท และยังคงตั้งเป้ารายได้ปี 2564 อยู่ที่ 2,370 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนอยู่ที่ 1,639 ล้านบาท และมากกว่าในช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยมาจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติ (ไอซีเอ็นจี) ที่มียอดขายฟื้นตัว 4 เท่าตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 1,500 ล้านบีทียูต่อวัน แต่ในปีนี้คาดว่ายอดขายจะอยู่ที่ระดับ 3,500-4,000 ล้านบีทียูต่อวัน เนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมได้กลับมาเดินเครื่องผลิตเป็นปกติและสามารถรับรู้กำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบูที่ประเทศเมียนมา , โครงการโซลาร์รูฟท็อป และเงินชดเชยจากการชนะคดี อีซีโออาร์ ส่งผลให้รายได้ปีนี้ปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อน
ในส่วนของ แผนการดำเนินงาน 5 ปี (ปี 2564-2568) บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตขึ้นต่อเนื่อง โดยในปีนี้ เป้ารายได้อยู่ที่ 2,370 ล้านบาท ,ปี 2565 อยู่ที่ 2,703 ล้านบาท ,ปี 2566 อยู่ที่ 2,813 ล้านบาท ,ปี 2567 อยู่ที่ 2,913 ล้านบาท และปี 2568 เป้ารายได้อยู่ที่ 2,886 ล้านบาท
ในขณะที่ ความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้ามินบู เฟส 2 กำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์ คาดว่าจะ COD ภายในเดือน ส.ค.นี้ ส่วนเฟส 3 กำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์ ได้แจ้งการดำเนินการก่อสร้างไปแล้ว คาดว่าจะ COD ภายในเดือนเม.ย.2565 และเฟส 4 กำลังการผลิต 70 เมกะวัตต์ คาดว่าจะ COD ในเดือนมิ.ย.2565 ซึ่งโรงไฟฟ้ามินบูในปีที่ผ่านมาได้สร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ แล้ว 72 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
“ความไม่สงบทางการเมืองในเมียนมา ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อรายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบู เพราะบริษัได้ทำสัญญาซื้อขายโดยตรงกับรัฐบาลกลางเมียนมา และตั้งแต่เกิดรัฐประหารก็ยังได้รับค่าไฟฟ้าให้ตามที่กำหนด แต่ อาจจะกระทบต่อการลงทุนในเฟส 2 อีก 50 เมกะวัตต์บ้าง แต่คาดว่าจะแล้วเสร็จในภายในปี 2564”