'ไลน์ล่ม' แฮชแท็กร้อน #ไลน์ล่ม ขึ้นเทรนด์อันดับ 1 ส่งข้อความไม่ได้
"ไลน์ล่ม" ฮอตโซเชียล แฮชแท็กร้อน #ไลน์ล่ม ขึ้นเทรนด์อันดับ 1 บ่นส่งข้อความไม่ได้
มีรายงานว่า ตั้งแต่บ่ายโมงวันนี้จนถึงขณะนี้ ผู้ใช้งาน แอปพลิเคชัน “ไลน์” หรือ line พบปัญหาการใช้งาน เบื้องต้นไลน์ล่มยังไม่ทราบสาเหตุ ขณะที่ #ไลน์ล่ม ขึ้นเทรนด์อันดับ 1 ในทวิตเตอร์
ทั้งนี้ "กรุงเทพธุรกิจ" ได้ติดต่อสอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ บริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จํากัด ได้รับคำตอบเบื้องต้นว่า ปัญหาดังกล่าวเกิดจากเซิร์ฟเวอร์ของทางบริษัทแม่ ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งส่งผลให้การใช้งานขัดข้องตั้งแต่ 13.00 น. แต่หลังผ่านมาหนึ่งชั่วโมง ก็กลับมาใช้ได้ตามปกติแล้ว
อย่างไรก็ตาม หากมีความคืบหน้าเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหา จะรายงานให้ทราบต่อไป
ล่าสุด line ออกประกาศชี้แจง
อย่างไรก็ตามกรณีไลน์ล่มนั้น เมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Line ประกาศโอนข้อมูลผู้ใช้บริการทั้งหมดไป "ญี่ปุ่น" หวั่นข้อมูลรั่วไหล หลังมีเจ้าหน้าที่เทคนิคสาขาใน จีน สามารถเข้าถึงข้อมูลได้
นายทาเกชิ อิเดซาวะ ประธานบริษัท Line Corp ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันไลน์ กล่าวว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้อมูลของผู้ใช้บริการทั้งหมดจะถูกโอนไปเก็บยังญี่ปุ่น เพื่อยกระดับการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการ
มาตรการดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ Line เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคของบริษัทในเครือที่ตั้งในจีน สามารถเข้าถึงข้อมูลของลูกค้าโดยที่ลูกค้าไม่ได้รับแจ้งตามที่มีการกำหนดไว้ในกฎหมาย
Line เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ดังกล่าวจำนวน 4 รายสามารถเข้าถึงข้อมูลของลูกค้าอย่างน้อย 32 ครั้ง ซึ่งได้แก่ ข้อมูลเกี่ยวกับชื่อของผู้ใช้บริการ หมายเลขโทรศัพท์ และอีเมลแอดเดรส
รายงานดังกล่าวสร้างความกังวลในญี่ปุ่นเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและความมั่นคงแห่งชาติ เนื่องจากข้อมูลของชาวญี่ปุ่นอาจถูกโอนไปยังรัฐบาลจีน ขณะที่หน่วยงานหลายแห่งของรัฐบาลญี่ปุ่นใช้แอปพลิเคชันไลน์ในการสื่อสารกับประชาชน
นอกจากนี้ Line ยืนยันว่า ไม่มีรายงานการลักลอบนำข้อมูลของผู้ใช้บริการไปใช้อย่างไม่เหมาะสม และทางบริษัทได้บล็อกมิให้เจ้าหน้าที่จากจีนสามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้าในเดือนก.พ. ขณะที่ข้อมูลเกี่ยวกับภาพนิ่งและวิดีโอที่มีการโพสต์จากผู้ใช้บริการมีการเก็บไว้ที่เกาหลีใต้
อย่างไรก็ตามแม้ไลน์ล่ม จะส่งผลกระทบกับผู้ใช้แต่ Line ถือเป็นแอพพลิเคชั่นยอดนิยมในโลกออนไลน์ โดยมีผู้ใช้บริการกว่า 86 ล้านรายในญี่ปุ่น รวมทั้งมีผู้ใช้บริการจำนวนมากในไทย ไต้หวัน และอินโดนีเซีย