'ทนาย' ชี้ โทษจำคุก 'เพนกวิน' ไม่ต่ำกว่า 50 ปี
'เพนกวิน' ปฏิเสธกระบวนการในชั้นศาล คดี ม.112 เนื่องจากไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ทำให้ไม่สามารถต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่
9 เม.ย.64 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ให้สัมภาษณ์ภายหลังนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แกนนำราษฎร ขอถอนทนายความ ปฏิเสธกระบวนการพิจารณาคดี ม.112 จากการปราศรัยกลุ่มม็อบเฟส และศาลอนุญาตให้ถอนทนายแล้ว ว่า วันนี้เป็นการนัดตรวจหลักฐานคดีชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งเพนกวินเป็นจำเลยเพียงคนเดียว ศาลเบิกตัวเพนกวินนั่งรถเข็นมา อนุญาตให้พ่อแม่กับเพื่อนที่เป็นนักศึกษาเข้ามาพูดคุยกัน เพราะเพนกวินมีปัญหาเรื่องการเรียน เนื่องจากไม่ได้เข้าสอบ วันนี้ก็ได้รับการผ่อนปรนจากศาลพอสมควร
นายกฤษฎางค์ กล่าวต่อไปว่า อัยการแถลงนัดสืบพยานทั้งหมด 32 ปาก 9 นัด เพนกวินแถลงต่อศาลว่า เนื่องจากไม่ได้รับความเป็นธรรมในการต่อสู้คดีนี้ เนื่องจากไม่ได้สิทธิ์ในการปล่อยตัวชั่วคราว ทำให้ไม่มีโอกาสไปแสวงหาพยานหลักฐานมาสู้คดีได้เต็มที่ เขาขอไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม โดยใช้คำพูดต่อไปนี้ว่า
“ปฏิเสธกระบวนการในชั้นศาล เนื่องจากไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ทำให้ไม่สามารถต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม ก็เลยขอไม่เข้าร่วมในการต่อสู้คดี” ก็ให้โจทก์สืบพยานไป แล้วขอถอนทนาย คือตนและทนายอีก 2 คนออกจากการเป็นทนายความ
นายกฤษฎางค์ กล่าวถึงเหตุผลในการถอนทนายของเพนกวินว่า มีทนายความไปก็ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือคดีได้ เนื่องจากตัวเองไม่ได้รับสิทธิในการตรวจสอบพยานหลักฐานต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ เมื่อไม่เข้าร่วมกระบวนการยุติธรรม ก็ไม่จำเป็นต้องมีทนาย และยังขอศาลว่าไม่ต้องเบิกตัวเขามาขึ้นศาล แต่เป็นไปไม่ได้ เพราะในคดีอาญาการพิจารณาคดีต้องทำต่อหน้าจำเลยเป็นหลักกฎหมาย ก็เหมือนกับหลักกฎหมายที่ต้องอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว เพนกวินจึงได้ขอศาลว่าไม่ต้องเบิกตัวเขามาหรอก เพราะเสียเวลา ยังไงเขาก็คงอยู่ไม่ถึง
ผู้สื่อข่าวถามว่า แล้วจากนี้กระบวนการต่อไปจะเป็นอย่างไร จะมีการสืบพยานต่อไปได้หรือไม่ นายกฤษฎางค์ เปิดเผยว่า ยังนัดสืบพยานโจทก์ได้เรื่อยๆ แต่เนื่องจากเพนกวินไม่อนุญาตให้ตนเข้าไปทำหน้าที่ เพราะเขาคิดว่าจะไม่เข้าร่วมกระบวนการนี้ หากมองในแง่นักกฎหมาย ตามหลักกฎหมายแล้ว เมื่อจำเลยมาอยู่ต่อหน้าศาล จะสืบพยานแล้วไม่ตั้งทนาย ศาลจะตัดสินความผิดตามที่โจทก์กล่าวหา อันนี้คือตามที่กฎหมายกำหนด แต่ในสายตาเพนกวินเชื่อว่าเขาไม่มีโอกาสในการต่อสู้คดี เนื่องจากไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ซึ่งควรเป็นสิทธิที่เขาต้องได้รับ ขณะเดียวกันศาลจังหวัดเชียงรายก็อนุญาตให้ประกันตัวบาส-มงคล ถิระโคตร (ผู้ต้องหาคดี ม.112) ศาลอาญาก็เคยให้ประกันตัวเขากับเพื่อน และเคยให้ประกันตัวคดีที่มีโทษหนักกว่าของเพนกวิน ทั้งโทษกบฏโทษประหารชีวิต ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าเกณฑ์ที่ใช้กับเขานั้นไม่เป็นธรรม
“คดีนี้มีพยานโจทก์เป็นพยานบุคคล 32 ปาก มีพยานเอกสารอีกร่วมร้อยกว่าฉบับ เขาไม่มีโอกาสที่จะออกจากคุกมาตรวจสอบ แล้วโทษสูง เพนกวินถ้าติดคุกคงติดไม่ต่ำกว่า 50 ปี ตามกฎหมาย ในคดีนี้ รวมทั้งการที่เขาไม่มีโอกาสที่จะพบปะหารือกับทนายความเป็นการส่วนตัว ทำให้เขาคิดว่าเขาเหมือนกับนักกีฬาที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในกติกากฎเกณฑ์ เขาจึงไม่เข้าร่วม เขาถือว่าถ้าเขาแพ้คดี เขาอาจจะชนะในความยุติธรรม เขาคงไม่มาร่วมด้วย เพราะฉะนั้น คำถามว่าคดีจะไปยังไง คดีก็ไปแบบที่สืบพยาน โดยจำเลยอาจจะอยู่ไม่ถึงวันนั้น หรืออยู่แล้วก็ไม่ได้ฟัง แล้วไม่ได้สนใจใยดี เพราะถือว่าเป็นบทกฎหมายที่เขาไม่สมควรจะร่วมด้วย ถึงที่สุดศาลก็จะมีคำพิพากษาออกมาได้อยู่ดี แม้ว่าจะหนีไป เดี๋ยวนี้ก็มีกฎหมายพิจารณาลับหลังก็ได้”
เมื่อถามถึงความกังวลกับคดีนี้ที่จะไม่มีทนายความมาดูแลแล้ว นายกฤษฎางค์ กล่าวว่า เมื่อทนายความพ้นจากการเป็นทนายก็จะไม่มีภารกิจอะไรในคดีนี้แล้ว แต่ความห่วงใยที่มี คือห่วงกังวลน้องๆ ห่วงกังวลคนที่เราเห็นว่าพวกเขาได้ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ พวกเขาน่าจะได้รับการพิสูจน์ในระบบยุติธรรมที่เป็นธรรม ตนก็ห่วงในฐานะที่เขาเป็นน้องคนหนึ่งที่รู้จัก แต่คงคิดว่าไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเขาได้ เพราะเขาจะไม่เข้าร่วมกระบวนการยุติธรรมที่ศาลอาญาแห่งนี้ต่อ เราก็ไม่สามารถเข้าไปช่วยได้แล้ว นี่เป็นสิ่งที่เพนกวินแถลงต่อศาล และมีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป