"เมย์แบงก์ กิมเอ็ง" โชว์กำไรไตรมาส 1/64 พุ่ง 105.47%
"เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)" ไตรมาส 1/64 คว้ากำไรสุทธิ 276.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 142.05 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 105.47% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ค่าฟีจัดจำหน่ายหลักทรัพย์-ที่ปรึกษาการเงินพุ่ง 205.77%
นายอารภัฏ สังขรัตน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 276.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 142.05 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 105.47% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 134.68 ล้านบาท บริษัทฯ จึงใคร่ขอชี้แจงสาเหตุการเปลี่ยนแปลง ในส่วนที่มีสาระสำคัญ ดังนี้
รายได้ค่านายหน้าเพิ่มขึ้น 178.38 ล้านบาท จาก 507.94 ล้านบาท เป็น 686.32 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 35.12% เนื่องจากรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 203.83 ล้านบาท จาก 442.42 ล้านบาท เป็น 646.25 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 46.07% อันเป็นผลจากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ เพิ่มขึ้นจาก 66,901.38 ล้านบาทต่อวัน เป็น 96,950.96 ล้านบาทต่อวัน หรือ เพิ่มขึ้น 44.92%
และ สัดส่วนนักลงทุนบุคคลซึ่งเป็นส่วนรายได้หลักของบริษัท เพิ่มขึ้นจาก 37.81% เป็น 47.33% อันเป็นผลให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของนักลงทุนบุคคล เพิ่มขึ้นจาก 25,293.81 ล้านบาทต่อวัน เป็น 45,882.65 ล้านบาทต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 81.40% รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าลดลง 25.45 ล้านบาท จาก 65.52 ล้านบาท เป็น 40.07 ล้านบาท หรือลดลง 38.84%
สำหรับรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้น 28.19 ล้านบาท จาก 13.70 ล้านบาท เป็น 41.89 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 205.77% เนื่องมาจากค่าธรรมเนียมจากการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 11.77 ล้านบาท ค่าที่ปรึกษาทางการเงินเพิ่มขึ้น 7.09 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมและบริการอื่นเพิ่มขึ้น 9.33 ล้านบาท
ในขณะที่รายได้อื่นลดลง 9.72 ล้านบาท จาก 229.79 ล้านบาท เป็น 220.07 ล้านบาท หรือลดลง 4.23% เนื่องมาจากรายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ลดลง 11.31 ล้านบาท และรายได้ดอกเบี้ยจากเงินฝากในสถาบันการเงินและพันธบัตรรัฐบาลลดลง 19.16 ล้านบาท ในขณะที่กำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงินเพิ่มขึ้น 18.77 ล้านบาท และรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 1.98 ล้านบาท
โดยค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น 20.46 ล้านบาท จาก 581.50 ล้านบาท เป็น 601.96 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3.52% เนื่องมาจาก ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานเพิ่มขึ้น 37.27 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายเพิ่มขึ้น 2.93 ล้านบาท ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้น 1.92 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่นเพิ่มขึ้น 5.22 ล้านบาท
ในขณะที่ ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง 26.88 ล้านบาท และภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้น 34.34 ล้านบาท จาก 35.25 ล้านบาท เป็น 69.59 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 97.42% เนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้
“เราพอใจอย่างยิ่งกับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และเป้าหมายที่ประสบความสำเร็จในการสร้างแพลตฟอร์มเพื่อนำเสนอทางเลือกในการลงทุนใหม่ๆ โดยมีการวางแผนการลงทุนและปรับให้เหมาะสมกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในแต่ละประเภท” นายอารภัฏ กล่าว