‘กรมบังคับคดี’ แนะไกล่เกลี่ย สาวช่วยผู้ค้ำประกันเพื่อน ถูกยึดบ้าน-ที่ดิน
"กรมบังคับคดี" แนะไกล่เกลี่ยข้อพิพาท กรณีสาวค้ำประกันเพื่อน ซื้อรถ ถูกยึดบ้านและที่ดิน
ตามที่มีข่าวนางพรพรรณ สัตย์รัมย์ ร้องขอความช่วยเหลือจากการไปค้ำประกันการซื้อรถยนต์ให้กับเพื่อนสนิท แต่เพื่อนไม่ชำระหนี้เป็นเหตุให้ตนถูกฟ้องจนโดนยึดบ้านและที่ดิน นั้น
เมื่อวันที่ 4 พ.ค.64 นางอรัญญา ทองน้ำตะโก อธิบดีกรมบังคับคดี เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าวเป็นการบังคับคดีตามคำพิพากษา ในคดีของศาลจังหวัดสีคิ้ว หมายเลขแดงที่ ผบ 645/2562 ระหว่าง บริษัท ตรีเพชรอีซูซุลิสซิ่ง จำกัด โจทก์ นางสาวสุกัญญา คูณขุนทด ที่ 1 นางพรพรรณ สัตย์รัมย์ ที่ 2 จำเลย โดยเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2564 โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของนางพรพรรณ สัตย์รัมย์ จำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์
และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งการยึดให้คู่ความทราบแล้ว ดังนั้น จึงได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการสำนักงานบังคับคดีจังหวัดบุรีรัมย์ สาขานางรอง ให้ความช่วยเหลือกรณีดังกล่าวในทันที ซึ่งได้ประสานผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมาร่วมเจรจาไกล่เกลี่ยหาทางออกร่วมกันแล้วในวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 นี้ และหากได้มีการปฏิบัติตามข้อตกลงร่วมกันจะส่งผลให้ไม่ต้องถูกบังคับคดีขายทอดตลาดต่อไป
กรมบังคับคดีให้ความสำคัญกับกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดีเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ตามคำพิพากษาภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยสามารถยื่นขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชัน Session call และสามารถยื่นคำร้องขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาทผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ทางเว็บไซต์กรมบังคับคดี www.led.go.th
ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท กรมบังคับคดี หมายเลขโทรศัพท์ 0 2881 4840,0 2887 5972 หรือสายด่วนกรมบังคับคดี 1111 กด 79 และสำนักงานบังคับคดีทั่วประเทศ
ทั้งนี้ นางพรพรรณ สัตย์รัมย์ อายุ 36 ปี ชาวบ้านนาใหม่ ต.หัวถนน อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งมีอาชีพขายของชำที่บ้าน ได้ออกมาร้องขอความช่วยเหลือ หลังจากไปค้ำประกันเพื่อนสนิทซื้อรถยนต์อเนกประสงค์มูลค่ากว่า 1.8 ล้านบาท ซึ่งรับหมายจากสำนักงานบังคับคดีจังหวัดบุรีรัมย์ สาขานางรอง จะยึดที่ดินและบ้านที่อยู่อาศัยกับครอบครัวในปัจจุบัน เพราะเพื่อนคนที่ซื้อรถคันดังกล่าวยังค้างเงินส่วนต่างกับทางบริษัทอยู่กว่า 5 หมื่นบาท แล้วก็ไม่รับผิดชอบหนีหายไปเลย ทำให้ตนเองตกเป็นจำเลยที่ 2 ในฐานะคนค้ำประกัน และถูกฟ้องยึดทรัพย์แทน