กลุ่มการค้าปลีกและบริการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เผยความคืบหน้า 30 วันแรก เร่งขับเคลื่อน 3 ภารกิจหลักจัดหาพื้นที่หนุนกระจายฉีดวัคซีน สนับสนุนสินเชื่อเอสเอ็มอี ดันโครงการ "ฮักไทย"กระตุ้นใช้จ่ายในประเทศ
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานกลุ่มการค้าปลีกและบริการ และหัวหน้าทีมสนับสนุนการกระจายและฉีดวัคซีน ของหอการค้าไทย กล่าวถึงความคืบหน้า 30 วันแรกของภารกิจ 99 วัน ภายใต้นโยบาย Connect the dots ของนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานหอการค้าไทย ที่ได้ประกาศไปเมื่อวันที่ 29 มี.ค.2564 กลุ่มการค้าปลีกและบริการดำเนินงานด้วยความมุ่งมั่นที่จะจัดหาพื้นที่ฉีดวัคซีน เพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดและช่วยพลิกฟื้นสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลกระทบกับการดำเนินชีวิตของคนไทยเป็นอย่างมากและ มีจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นทุกวัน โดยมีผลการดำเนินงาน 30 วันแรกภายใต้ 3 ภารกิจหลัก ดังนี้
1.การจัดหาพื้นที่การฉีดวัคซีนและการกระจายวัคซีนให้รวดเร็วและทั่วถึง
กลุ่มการค้าปลีกและบริการได้นำเสนอพื้นที่ฉีดวัคซีนทั่วประเทศ 302 แห่ง ประกอบด้วย กรุงเทพมหานครจำนวน 66 แห่ง และจังหวัดที่เหลือทั่วประเทศจำนวน 236 แห่ง และดำเนินการลงสำรวจพื้นที่สถานที่จริงเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2564 และได้รับอนุมัติจากกรุงเทพมหานครแล้วจำนวน 14 แห่งเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2564 และสามารถฉีดวัคซีนได้ 25,000 -30,000 คนต่อวัน พร้อมทั้งสนับสนุนระบบและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ อาทิ คอมพิวเตอร์ เครื่องอ่านบัตรประชาชน ตลอดจนอาหารและเครื่องดื่มสำหรับบุคคลากรและประชาชนทั่วไป หากมีปริมาณวัคซีนเพิ่มมากขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม มีความเป็นไปได้ที่จะมีการขยายจุดฉีดวัคซีนเพิ่มมากขึ้นไปอีก
ดังนั้น กลุ่มการค้าปลีกและบริการจึงได้ประสานความร่วมมืออย่างทันทีไปยังเครือข่ายภาคีของหอการค้าไทยและนำเสนอพื้นที่ทั่วประเทศเพิ่มอีก 70 แห่ง ไปเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 ทำให้ในขณะนี้มีพื้นที่เสนอรวมทั้งหมดจำนวน 372 แห่ง ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร จำนวน 82 แห่ง และจังหวัดที่เหลือจำนวน 290 แห่ง
พื้นที่แต่ละจุดในกรุงเทพฯ จะเป็น “ต้นแบบ” พื้นที่ฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ และครบวงจร (Total Solutions) ถือเป็นแชนด์บอกซ์นำร่อง สามารถต่อยอดขยายจุดฉีดวัคซีนทั่วประเทศที่ได้รับเลือกจากผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ และหน่วยงานที่รับผิดชอบ โดยเราได้เริ่มทำให้เกิดขึ้นจริงโดยทันที และดำเนินการฉีดวัคซีนแล้วในพื้นที่ศูนย์การค้า คือ ศูนย์การค้า เซ็นทรัล สมุย เมื่อวันที่ 2 เมษายน2564 และศูนย์การค้า เซ็นทรัล ระยอง เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา
ภายใน 69 วันที่เหลือ ยังมีแผนดำเนินการในเรื่องของการกระจายวัคซีนให้ทั่วถึงมากขึ้น ด้วยการเป็นจุดเชื่อมโยงในการจัดทำหน่วยฉีดวัคซีนเคลื่อนที่ไปยังบริษัทและโรงงานใหญ่ๆ ที่มีพนักงานจำนวนมาก เพื่อให้วัคซีนวิ่งหาประชาชน และ ลดการเคลื่อนย้ายของประชาชน ภายในเฟสต่อไป รวมทั้งสนับสนุนให้จุดฉีดวัคซีนของภาคเอกชนเข้าไปอยู่ในระบบการจองฉีดวัคซีนของรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถเลือกเป็นจุดที่รับการฉีดวัคซีนได้
2.การเป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมต่อให้เอสเอ็มอี (SME) มากกว่า 100,000 ราย เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย รวดเร็ว และกระจายให้ทั่วถึง เพื่อให้ SME ไทยมีแต้มต่อในการดำเนินธุรกิจ
กลุ่มการค้าปลีกและบริการ เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงข้อมูลที่จำเป็นให้กับสถาบันการเงิน เพื่อประกอบการอนุมัติสินเชื่อให้เร็วขึ้น โดยบริษัทเซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทย จัดทำโครงการต้นแบบแซนด์บอกซ์นำร่องในเฟสแรก เพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีขนาดเล็ก ที่มียอดวงเงินกู้ต่ำกว่า 5 ล้านบาท โดยล่าสุดได้นำเสนอรายชื่อและข้อมูลให้ธนาคารอนุมัติกว่า 6,000 รายเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีจำนวนผู้ประกอบการ SME จำนวนกว่า 1,000 ราย จะได้รับอนุมัติสินเชื่อเป็นกลุ่มแรก ภายในเดือนพฤษภาคม 2564 และกว่า 70% ของทั้ง 6,000 รายนี้ ยังไม่เคยเข้าถึง Soft Loan มาก่อน
สำหรับเฟสต่อไปในช่วงที่เหลือ 69 วัน จะนำต้นแบบแซนด์บอกซ์ขยายความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการ SME ที่มียอดวงเงินกู้ต่ำกว่า และหรือสูงกว่า 5 ล้านบาท ในเครือข่ายของหอการค้าไทย โดยจะทำงานร่วมกับสมาคมธนาคารไทย สมาชิกของสมาคมต่างๆ เช่น สมาคมค้าปลีกไทย และสมาคมศูนย์การค้าไทย เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME รายเล็ก และคาดว่าจะกระจายต้นแบบการขอสินเชื่อ Soft Loan ไปยัง SME มากกว่า 100,000 ราย ทั่วประเทศ ภายในเดือนธ.ค.2564 เพื่อเสริมสภาพคล่องและเป็นแต้มต่อในการทำธุรกิจต่อไป
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
3.กระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ(Local Consumption) มากกว่าแสนล้านบาท และมีอัตราการจ้างงานกลับคืนมา 25-30% ของการจ้างงานภาคการค้าปลีกและบริการ
กลุ่มการค้าปลีกและบริการมีแผนงานที่จะส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ (Local Consumption) ผ่านโครงการ “ฮักไทย” กิน เที่ยว ใช้ (ช้อป) ของไทย โดยในช่วง 30 วันแรก ได้ศึกษาข้อมูลรายละเอียดเพื่อจัดทำแผนงานของโครงการและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ โครงการ “ฮักไทย” มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนให้คนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ อุดหนุนการกิน เที่ยว ใช้ของไทยพร้อมส่งเสริมให้ส่วนงานราชการและบริษัทต่างๆ จัดงานสัมมนาและประชุมในประเทศ กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายภายในประเทศและสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยมากกว่าแสนล้านบาท และมีอัตราการจ้างงานกลับคืนมา 25-30% ของการจ้างงานภาคการค้าปลีกและบริการ เพื่อทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้อย่างเร็ว และยั่งยืน โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการหารือกับภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าจะสรุปได้ภายในเดือนมิ.ย.2564
นอกเหนือจากนี้ จากสถานการณ์การระบาดที่รุนแรงในเดือนเม.ย.2564 ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้จำนวนเตียงที่รองรับผู้ป่วยโควิด-19 ไม่เพียงพอ ดังนั้น 3 ผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งเป็นสมาชิกของหอการค้าไทย จึงได้รวมตัวกันเพื่อเป็นจุดศูนย์กลางและรวบรวมการรับบริจาคกล่องลูกฟุก เพื่อทำเตียงสนามให้กับโรงพยาบาลสนาม โดยมีบริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (ห้างโลตัส), บริษัทเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) โดยในส่วนของเซ็นทรัล รีเทล บริจาคกล่องกระดาษลูกฟูก เพื่อนำไปรีไซเคิลเป็นเตียงสนาม 6,000 เตียง และเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปร่วมกันบริจาคอีก 1,000 เตียง เพื่อรวบรวมให้ได้ครบ 7,000 เตียงภายในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยลูกค้าสามารถร่วมบริจาคได้ที่จุดรับบริจาค ณ ห้างร้านและศูนย์การค้าในเครือฯ กว่า 124 จุด ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
“ผลจากการร่วมแรงร่วมใจของพวกเราทุกคน ทุกภาคส่วน ทำให้เกิดพลังสังคมซึ่งผลักดันให้แผนงานที่เร่งดำเนินการไว้เกิดขึ้นได้จริงและรวดเร็วกว่าที่กำหนด สำหรับช่วงเวลาที่เหลืออีก 69 วัน กลุ่มการค้าปลีกและบริการจะยังคงเดินหน้าภารกิจ ตามนโยบาย Connect the dots ของหอการค้าไทย โดยให้ความสำคัญที่สุดในเรื่อง การเร่งการฉีดและกระจายวัคซีนให้เข้าถึงประชาชนอย่างทั่วถึงและเร็วที่สุด เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดให้ลดลง และสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประเทศ และด้วยการสรรพกำลังของเรา พร้อมที่จะประสานงานและสนับสนุนทุกหน่วยงาน ทุกภาคส่วน อาทิ กรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด หอการค้าทุกจังหวัด สมาชิกภาคีเครือข่ายของหอการค้าไทย สมาคมค้าปลีกไทย สมาคมศูนย์การค้าไทย สมาคมธนาคารไทย และภาคเอกชนอื่นๆ เรามุ่งมั่นและจะทุ่มเทอย่างจริงจังและจริงใจเพื่อทำให้แผนงานทั้งหมดสามารถเกิดขึ้นได้จริง เราจะเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยเหลือประเทศชาติและประชาชนคนไทยให้ก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ด้วยกัน” นายญนน์ กล่าวทิ้งท้าย