คุณภาพชีวิต-สังคม
ชวน 'บริจาคเลือด'ช่วยเหลือผู้ป่วย 'โรคธาลัสซีเมีย'
ม.มหิดล เชิญชวน "บริจาคเลือด" ช่วยเหลือผู้ป่วย "โรคธาลัสซีเมีย" เยียวยาวิกฤติขาดแคลนเลือด ในช่วง "COVID-19"แพร่ระบาด
วันที่ 8 พฤษภาคมของทุกปี ตรงกับวันธาลัสซีเมียโลก ขององค์การอนามัยโลก (WHO) เนื่องด้วยเป็น "โรคทางพันธุกรรม"ที่เป็นปัญหาระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งประเทศไทยถือเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องมีการวางแผนยุทธศาสตร์กันโดยเร่งด่วน เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียรายใหม่
นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs Goals) ขององค์การสหประชาชาติ (UN) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเป้าหมายที่ 3 ซึ่งว่าด้วยการสร้างหลักประกันว่าผู้มีชีวิตที่มีสุขภาพดี และส่งเสริมสวัสดิภาพสำหรับทุกคนในทุกวัย (Ensure healthy lives and promote well-being for all at all ages)
ผศ.ดร.พญ.เดือนธิดา ทรงเดช อาจารย์ประจำสาขาวิชาโลหิตวิทยาและมะเร็งวิทยา ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า "โรคธาลัสซีเมีย"สามารถป้องกันได้อย่างยั่งยืนโดยการวางแผนการมีบุตร และเข้ารับการตรวจคัดกรองตั้งแต่ก่อนแต่งงาน ในบางรายอาจไม่แสดงอาการแต่เป็นพาหะทำให้เกิดการถ่ายทอดทางพันธุกรรมไปสู่บุตรหลานได้
แม้มีลูกป่วยเป็น "โรคธาลัสซีเมีย" หากสอนลูกให้รู้จักวิธีการปฏิบัติตัวในการดูแลสุขภาพ เข้ารับการรักษาติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่ขาดการเข้ารับการถ่ายเลือด และรับประทานยาขับเหล็กตามที่แพทย์แนะนำ ก็จะสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไปได้
เรื่องการเลือกรับประทานอาหารสำหรับผู้ป่วย "โรคธาลัสซีเมีย"ก็เป็นเรื่องสำคัญ โดยควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ พวกเนื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู เนื้อวัว ตับ หรือเครื่องในสัตว์ ฯลฯ นอกจากนี้ ควรจะรับประทานอาหารเช่นเดียวกับคนปกติทั่วไป ให้ครบ 5 หมู่ โดยเน้นความสุก และสะอาด ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในช่วงวิกฤติ "COVID-19"
- ชวน "บริจาคเลือด" ช่วยผู้ป่วย "โรคธาลัสซีเมีย"
ผู้ป่วย"โรคธาลัสซีเมีย"มีโอกาสติดเชื้อไวรัส "COVID-19" เช่นเดียวกับประชากรทั่วไปที่แข็งแรงดี อย่างไรก็ตามเมื่อผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียติดเชื้อไวรัส"COVID-19" อาจมีไข้สูง ทำให้เม็ดเลือดแดงแตก และต้องได้รับการถ่ายเลือดก่อนกำหนด นอกจากนั้น
ผู้ป่วย"โรคธาลัสซีเมีย"ที่ตัดม้ามแล้ว มีธาตุเหล็กสะสมสูงมาก หรือมีโรคประจำตัวอื่นร่วมด้วย เช่น เบาหวาน เส้นเลือดอุดตัน เมื่อติดเชื้อไวรัส "COVID-19" อาจมีโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนมากกว่าคนปกติ ดังนั้น ผู้ป่วย"โรคธาลัสซีเมีย"ควรดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ด้วยการรับการถ่ายเลือด และรับประทานยาขับเหล็กอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงโอกาสสัมผัสเชื้อไวรัส "COVID-19" และเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส "COVID-19" โดยเร็วที่สุดเมื่อมีโอกาส
ด้วยมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส "COVID-19"ทำให้ผู้ป่วย"โรคธาลัสซีเมีย"ของโรงพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ส่วนหนึ่งที่อยู่ต่างจังหวัดเดินทางมาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดีตามที่แพทย์นัดลำบาก ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการติดตามการรักษา
โดยทางโรงพยาบาลรามาธิบดี ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการแก้ไขปัญหาโดยการติดต่อประสานให้ผู้ป่วย"โรคธาลัสซีเมีย"ยเข้ารับการรักษา ณ สถานพยาบาลใกล้บ้าน โดยไม่ต้องเดินทางมาไกลถึงโรงพยาบาลรามาธิบดี นอกจากนี้ได้มีการเพิ่มจำนวนการจ่ายยาเพื่อให้ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียสามารถรับประทานยาได้นานขึ้น จาก 1 เดือน เป็น 3 เดือน สำหรับการจัดลำดับการเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดีนั้น ได้มีการนัดหมายผ่านระบบออนไลน์ และนัดให้ผู้ป่วยมาเข้ารับการตรวจรักษาในคราวละจำนวนไม่มาก เพื่อลดความแออัด นอกจากนี้ ยังได้มีการให้ความรู้แก่ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียเพื่อให้รู้จักป้องกันตัวเองไม่ให้ติดเชื้อไวรัส "COVID-19"
ที่ผ่านมา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ร่วมกับ ศูนย์วิจัยธาลัสซีเมีย สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล ค้นคว้าหายาที่สามารถเพิ่มการสร้างฮีโมโกลบินเอฟ (Hb F) ซึ่งจะส่งผลให้เม็ดเลือดแดงมีอายุมากขึ้น ทำให้ผู้ป่วย"โรคธาลัสซีเมีย"มีอาการน้อยลง และต้องถ่ายเลือดน้อยลง
รวมถึงการรักษา"โรคธาลัสซีเมีย"ให้หายขาดด้วยการตัดต่อยีนที่สามารถทำได้ทั้งกระบวนการในประเทศไทย ซึ่งการค้นคว้ายาชนิดใหม่ และการตัดต่อยีนดังกล่าว ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัย คาดว่าจะพร้อมนำมารักษาผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียได้จริงในอีก 5 ปีข้างหน้า
- ผู้สนใจ "บริจาคเลือด" ติดต่อได้ที่รพ.รามาธิบดี
โดยปกติแล้วผู้ป่วย"โรคธาลัสซีเมีย"จะต้องถ่ายเลือดทุก 3 - 4 สัปดาห์เป็นประจำ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานว่าเชื้อไวรัส "COVID-19" สามารถติดต่อทางการถ่ายเลือดได้ อย่างไรก็ตาม พบว่าในช่วงวิกฤติ "COVID-19"มีจำนวนผู้บริจาคโลหิตน้อยลง ทำให้เลือดขาดแคลนจนทำให้ผู้ป่วย"โรคธาลัสซีเมีย"ต้องเลื่อนกำหนดการเข้ารับการถ่ายเลือดออกไป
เพื่อเยียวยาภาวะการขาดแคลนเลือดในช่วงวิกฤติ"COVID-19" ขอเชิญชวน "บริจาคเลือด"สำหรับผู้ที่มีอายุ 17 - 70 ปี น้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป ซึ่งมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง นอนหลับพักผ่อนไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง ไม่อยู่ระหว่างการรับประทานยารักษาโรค หรือยาปฏิชีวนะ
โดยควรรับประทานอาหารก่อน"บริจาคเลือด" งดเว้นอาหารจำพวกที่มีไขมันสูง รวมทั้งงดสูบบุหรี่ก่อนการ"บริจาคเลือด" นอกจากนี้ ตามประกาศของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2564 ได้แนะนำให้ผู้ที่ได้รับฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส "COVID-19" รอดูอาการข้างเคียงก่อนมาบริจาคโลหิต
สำหรับที่ โรงพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ถนนพระราม 6 กรุงเทพฯ สามารถติดต่อบริจาคโลหิต ได้ทั้งที่ ห้องรับบริจาคโลหิต อาคาร 1 ชั้น 2 และที่ ห้องรับบริจาคโลหิต อาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ ชั้น 3 ทุกวัน เวลา 08.30 - 12.00 น. และเวลา 13.00 - 16.30 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 0-2201-1229, 0-2201-1219 (ห้องรับบริจาคโลหิต อาคาร 1 ชั้น 2) และโทร. 0-2200-4208 (ห้องรับบริจาคโลหิต อาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ ชั้น 3)
หนึ่งผู้ให้ สามารถส่งผลแห่งความสุข นอกจากแก่ตัวผู้ให้เองแล้ว ยังส่งผลแห่งความสุขต่อตัวผู้รับ ซึ่งไม่ได้หมายถึงเพียงต่อผู้ป่วยเท่านั้น ยังหมายถึงชีวิตครอบครัว และผู้ที่ผู้ป่วยรัก ซึ่งกำลังรอคอยความช่วยเหลือด้วยความหวังที่จะเห็นผู้ป่วยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไปอีกด้วย