บี.กริม เพาเวอร์ เร่งเครื่องเพิ่มสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในมือ 1,000 เมกะวัตต์ปีนี้
“บี.กริม เพาเวอร์” ลุยเพิ่มสัญญาซื้อขายไฟอีก 1,000 เมกะวัตต์ในปีนี้ หนุนผลการดำเนินงานโตต่อเนื่อง ขณะที่ ไตรมาส1 ปีนี้ กำไรปกติ พุ่ง 25% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
นายฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า บี.กริม เพาเวอร์ มีเป้าหมายที่จะมีกำลังการผลิตรวมของโครงการใหม่ ไม่น้อยกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ภายในปีนี้ทั้งจากโครงการที่ก่อสร้างใหม่และการเข้าซื้อกิจการ จากปัจจุบัน มีโครงการที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งหมด 48 โครงการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 7,200 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568
โดยที่ผ่านมา บริษัทได้ขยายความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ โดยในเดือนเมษายน 2564 บี.กริม เพาเวอร์ ได้ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจด้านพลังงานทดแทน, ระบบการบริหารจัดการพลังงานและธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมกัน เช่น ระบบกักเก็บพลังงาน (ESS), ระบบการซื้อขายพลังงานไฟฟ้า (Energy Trading), ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) และระบบจำหน่ายไฟฟ้า
ส่วนความคืบหน้าของโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในปีนี้มีอีกหลากหลายโครงการ ประกอบด้วย โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมบ่อทอง วินด์ฟาร์ม 1&2 ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 16 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในจังหวัดมุกดาหาร ปัจจุบันมีความคืบหน้าในการก่อสร้าง 94% โดยมีกำหนดการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ในครึ่งปีแรกของปี 2564
ทั้งนี้ ผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2564 มีกำไรสุทธิ-ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 611 ล้านบาท เติบโต 654.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หากไม่รวมกำไร (ขาดทุน) จากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง กำไรสุทธิจากการดำเนินงานอยู่ที่ 646 ล้านบาท เติบโต 25.2% เทียบจากไตรมาสที่แล้ว แต่ลดลง 5.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงไฟฟ้าสำหรับภาคอุตสาหกรรม (SPP) มีการเติบโตดีมาก ทำให้ยังมีกำไรแข็งแกร่งแม้โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนามเริ่มบันทึกดอกเบี้ยจ่ายหลังสิ้นสุดระยะเวลาเครดิตตามสัญญาด้านวิศวกรรมจัดหาอุปกรณ์และก่อสร้าง (EPC) และมีการลดปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าชั่วคราวอันมีสาเหตุส่วนหนึ่งจากสถานการณ์โควิด-19
ขณะที่อัตรากำไร EBITDA เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดที่ 31.5% จากการขยายธุรกิจจำหน่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องมีปริมาณการซื้อไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 6.5% จากไตรมาสก่อนหน้า และ 5.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนสร้างสถิติใหม่ที่ 814 กิกะวัตต์-ชั่วโมง อันเกิดจากการเชื่อมเข้าระบบของลูกค้ารายใหม่ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 10.3 เมกะวัตต์ และการเติบโตจากทุกกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมหลัก โดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์, กลุ่มก๊าซอุตสาหกรรม และกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน โดยประเมินว่าปริมาณการซื้อไฟฟ้าของลูกค้าอุตสาหกรรมจะเติบโตประมาณ 10-15% ในปีนี้
นอกจากนี้ มีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตหลังการปรับปรุงเครื่องผลิตไฟฟ้ากังหันก๊าซของโครงการโรงไฟฟ้า ABPR 1 และ ABPR 2 ในช่วงเดือนมิถุนายน - ตุลาคม 2563 รวมถึงผลจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลง 17.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เช่นเดียวกับธุรกิจพลังงานทดแทน ที่รับรู้รายได้เต็มไตรมาสจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศกัมพูชา ซึ่งเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ในเดือนธันวาคม 2563
อย่างไรก็ดี รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนามลดลงชั่วคราว โดยมีการลดปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากปัญหาด้านสายส่งและความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งมีการแก้ไขปัญหาต่างๆ แล้ว และปริมาณการรับซื้อได้ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายนที่ผ่านมา
ด้านการเตรียมความพร้อม ภายใต้สมมติฐานสถานการณ์ต่าง ๆ รวมถึงการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บี.กริม เพาเวอร์ มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดยมีเงินสดในมือกว่า 2.1 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีกระแสเงินสดที่มั่นคงจากโครงการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการแล้ว 48 โครงการ และการสนับสนุนจากหลายสถาบันการเงิน ซึ่งเพียงพอในการพัฒนาโครงการตามเป้าหมายทั้งหมด