BFIT ไตรมาส 1/64 กำไรหดตัว 17.17% เหตุรายได้ดอกเบี้ยลดลง
"เงินทุน ศรีสวัสดิ์" แจ้งกำไรไตรมาส 1/64 ลดลง 17.17% เหลือ 307.74 ล้านบาท เหตุรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 336.98 ล้านบาท
นายธิติธรรม โรจนพฤกษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เงินทุน ศรีสวัสดิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ BFIT เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทสำหรับไตรมาส 1 ปี 2564 ปรากฎตามงบกำไร ขาดทุนเบ็ดเสร็จมีกำไรสุทธิ 307.74 ล้านบาท ลดลง 63.81 ล้านบาทหรือลดลง 17.17% เมื่อเปรียบเทียบกับผลกำไร ของไตรมาส ปี 2563 ซึ่งมีกำไรสุทธิจำนวน 371.55 ล้านบาท ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. การลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 336.98 ล้นบาท ซึ่งเกิดจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจำนวน 379.15 ล้านบาท และการลดลงของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจำนวน 42.17 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
การลดลงของรายได้ดอกเบี้ย จำนวน 379.15 ล้านบาท เกิดจาก
- การลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อจำนวน 380.47 ล้านบาท เป็นไปตามการลดลงของเงินให้สินเชื่อ
- การลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินลงทุนในตราสารหนี้จำนวน 0.82 ล้านบาท ซึ่งเป็นเพราะบริษัทไม่มีการลงทุนเพิ่มในตราสารหนี้ตั้งแต่ช่วงปี 2563
- การเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยจากรายการระหว่างธนาคารและตลาดเงิน (Repo) จำนวน 2.14 ส้านบาท เป็นผลจากขนาดการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2563
การลดลงของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย จำนวน 42.17 ล้านบาท เกิดจาก
- การลดลงของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจากเงินรับฝากจำนวน 15.52 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับการลดลงของเงินรับฝากจาก 6,727.01 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2563 เป็น 3,321.76 ล้านบาท ณ ไตรมาสที่ 1 ปี 2564 หรือลดลง 50.62%
- การลดลงของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจากเงินนำส่งสถาบันคุ้มครองเงินฝากและกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจำนวน 2.47 ล้านบาท ซึ่งแปรผันตามการลดลงของสัดส่วนเงินรับฝาก เงินกู้ยืมและมาตรการของรัฐบาล
- การลดลงของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจากตราสารหนี้ที่ออกและเงินกู้ยืมจำนวน 24.13 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการจ่ายคืนเงินกู้ยืมเพื่อใช้ในการคำเนินธุรกิจของบริษัททั้งหมดในระหว่างปี 2563 หรือคิดเป็นการลดลง 100%
- การลดลงของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยของหนี้สินตามสัญญาเช่าจำนวน 0.05 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 16 เรื่องสัญญาเช่า
2. การลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับเงินให้สินเชื่อจำนวน 12.84 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับปรุงแนวปฏิบัติตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การคิดดอกเบี้และการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม
3. การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากการวัดมูลค่าของเครื่องมือทางการเงินจำนวน 49.01 ล้นบาท ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 ซึ่งมีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 จำนวน 17.93 ล้านบาท รวมถึงการเพิ่มขึ้นของกำไรจากการขายเงินลงทุนจำนวน 31.08 ล้านบาท เป็นผลมาจากการจำหน่ายเงินลงทุนในระหว่างไตรมาสที่ 1 ปี 2564
4. การลดลงของรายได้จากการดำเนินงานอื่นๆ จำนวน 29.27 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการลดลงของรายได้หนี้สูญได้รับคืนในไตรมาสที่ 1 ปี 2564
5. การลดลงของค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ จำนวน 95.50 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการลดลงของค่าบริหารจัดการสินเชื่อจำนวน 54.27 ล้านบาท
6. การลดลงของผลขาดทุนค้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จำนวน 159.81 ล้านบาท เป็นผลมาจากการปรับปรุงการกันสำรองให้เป็นไปตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 ซึ่งมีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563
7. การลดลงของค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้จำนวน 10.95 ล้นบาท ซึ่งแปรผันตามการลดลงของกำไรจากการดำเนินงานก่อนภาษีเงินได้
โดยสรุปกำไรสุทธิของบริษัทในไตรมาส 1 ปี 2564 ตามงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จมีจำนวน 307.74 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.56 บาท เปรียบเทียบกับกำไรสุทธิต่อหุ้นจำนวน 0.67 บาท ช่วงเวลาเดียวกันในปี 2563
สำหรับกำไรเบ็ดเสร็จรวมซึ่งได้รวมการวัดมูลค่าใหม่ของภาระผูกพันผลประโยชน์หลังออกจากงาน ขาดทุนจากการวัดมูลค่าเงินลงทุนในตราสารหนี้ด้วยมูลค่ยุดิธรรมผ่านกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น และภาษีเงินได้เกี่ยวกับองค์ประกอบของกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นไว้ด้วยนั้นในไตรมาส 1 ปี 2564 บริษัทมีกำไรเบ็ดเสร็จรวมจำนวน 313.42 ล้นบาท ขณะที่กำไรเบ็ดเสร็จรวมของไตรมาสเดียวกันปี 2563 มีจำนวน 367.60 ล้านบาท