ทลาย 97 เครือข่ายยาเสพติด ยึดทรัพย์กว่า 2.4 พันล้าน
ผบ.ตร.แถลงผลงาน ทลาย 79 เครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ ในรอบ 6 เดือน ยึดทรัพย์กว่า 2,400 ล้านบาท
20 พ.ค. 2564 เวลา 11.15 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. พร้อมด้วยพล.ต.ท.มนู เมฆหมอก รองผบ.ตร.(ปป)ผู้อำนวยการศอ.ปส.ตร. พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผู้ช่วยผบ.ตร. พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผบช.ปส. พล.ต.ท.พรชัย เจริญวงศ์ รองผบช.ปส. ร่วมกันแถลงผลการทลายเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ ในรอบ 6 เดือน ยึดทรัพย์กว่า 2,400 ล้านบาท
พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า การแพร่ระบาดของยาเสพติดที่ทำลายความมั่นคงของประเทศ ประกอบกับทุกครั้งการจับกุมคดียาเสพติดรายใหญ่แต่ละครั้ง พบกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดยังคงใช้พื้นที่ชายแดนภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นเส้นทางหลักในการลักลอบนำยาเสพติดเข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสภาพภูมิประเทศเพื่อนบ้านมีฐานการผลิตยาเสพติดที่สำคัญ คือ บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ จึงเอื้ออำนวยต่อการลำเลียงเข้ามายังภาคเหนือในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ข้ามแม่น้ำโขงเข้ามาด้าน จังหวัดเลย, หนองคาย, บึงกาฬและนครพนม เป็นส่วนใหญ่ก่อนจะลำเลียงเข้ามาพักไว้ในพื้นที่ตอนในของประเทศบริเวณรอยต่อพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ประกอบกับยุคเทคโนโลยีใหม่ขบวนการค้ายา จึงใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางซื้อขายยาฯ และใช้ระบบขนส่ง Logistics ในการลำเลียงเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว สาเหตุสืบเนื่องจากความไม่สงบทางการเมืองในประเทศเมียนมามีส่วนทำให้ยาเสพติดปริมาณมหาศาลถูกผลักดันออกจากแหล่งผลิต แหล่งพักการลำเลียงแต่ละครั้งมีปริมาณยาเสพติดมากขึ้น
อีกทั้งรัฐบาลได้เพิ่มมาตรการคุมเข้มสำหรับการเดินทางเข้า-ออกประเทศ บริเวณด่านพรมแดนและช่องทางธรรมชาติ รวมถึงการตรวจสอบโรคอย่างเข้มงวดตามเส้นทางคมนาคมระหว่างจังหวัดในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้การจับกุมแต่ละครั้งตรวจยึดยาเสพติดได้มากขึ้น
ขณะเดียวกันยาเสพติดก็แพร่ระบาดอย่างหนักเข้าไปสู่หมู่บ้าน ชุมชน จะเห็นได้จากภาพข่าวผู้เสพยาเสพติดทำร้ายคนในครอบครัว เหตุนี้รัฐบาลได้เล็งเห็นความเดือดร้อน จึงมีนโยบายมุ่งเน้นการสืบสวนปราบปรามขยายผลเครือข่ายยึดอายัดทรัพย์สินบุคคลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทั้งหมดเป้าหมายในปี 2564 มูลค่าสูงถึง 6,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ พล.ต.ต.วัชรินทร์ บุญคง ผบก.ปส.2 และพล.ต.ต. บรรพต มุ่งขอบกลาง ผบก.ปส.3 พร้อมหน่วยงานความมั่นคงบูรณาการกำลังทำลายเครือข่ายขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่
โดยคดีแรก เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ กก.2 บก.ปส.3 บช.ปส. สนธิกำลังตำรวจภูธร ภาค 5 ทหารและ ป.ป.ส. ร่วมกันตรวจยึดยาเสพติดของเครือข่ายนายจะฟูทาปะ ได้บนถนนเลี่ยงเมืองสาธารณะบ้านแม่ฮ่าง-บ้านสันต้นหมื้อ ม.6 หน้าโรงอบข้าวไวเจริญค้าข้าว ต.แม่สาว อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ พบของกลางยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) 5 ล้านเม็ด ซุกซ่อนในกระสอบปุ๋ย วางอยู่ที่ท้ายกระบะของกลาง เบื้องต้นแจ้งข้อหา ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย มีโทษจำคุกตลอดชีวิตปรับ 1-5 ล้านหรือประหารชีวิต
คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ตำรวจกก.3 บก.ปส.2 บช.ปส., เจ้าหน้าที่กลุ่มงานข่าว บช.ปส., ตำรวจสภ. เมืองจ.หนองบัวลำภู, สภ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. ร่วมกันจับกุม 3 ผู้ต้องหาฉายานักบิน BMW ประกอบด้วยนายเกียรติศักดิ์ หรือเป้ ศรีรัตนาวดี อายุ 30 ปี นายอภิวัฒน์ หรือเอกแซ่ภู่ อายุ 35 ปี นายอรุณศักดิ์ หรือเก่ง ศรีสุวรรณ์ อายุ 25 ปี ได้บนถนนสายศรีชมพู ชุมแพ ต.ชุมแพ อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น ต่อเนื่องต.หมูม่นอ.เมือง จ.อุดรธานี ขณะลำเลียงยาเสพติดเพื่อส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ภาคกลาง และปริมณฑล ตรวจค้นรถยนต์ พบของกลางไอซ์น้ำหนักประมาณ 99 กิโลกรัม เบื้องต้นแจ้งข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมายมีโทษจำคุกตลอดชีวิตปรับ 1-5 ล้านหรือประหารชีวิต
พล.ต.ต.พรชัย รายงานผลการทลายเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ ได้เปิดปฏิบัติการปราบปรามขุดรากถอนโคน กดดัน ปูพรมไล่ล่า จับกุม ยึดทรัพย์สิน ขบวนการค้ายาเสพติดอย่างต่อเนื่องในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา พบคดียาเสพติดทั้งสิ้น 192,749 คดี ส่วนใหญ่เป็นคดีเสพ 88,481 คดี รองลงมาเป็นครอบครอง 52,538 คดี และครอบครองเพื่อจำหน่าย 38,061 คดี ดำเนินคดีผู้ต้องหา 193,604 คน เป็นเพศชาย ร้อยละ 89.6 เพศหญิง ร้อยละ 10.4 ตรวจยึดยาเสพติดเป็นยาบ้า 301,056,263 เม็ด กัญชา 24,425.23 กิโลกรัม เฮโรอีน 2,747.30 กิโลกรัม ไอซ์ 19,875.02 กิโลกรัม เคตามีน 948.45 กิโลกรัม ยาอี 248,991 เม็ด
ทั้งนี้ได้ทำลายเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญ 97 เครือข่าย พร้อมยึดทรัพย์สิน เช่น สิ่งปลูกสร้างพร้อมที่ดิน 153 รายการ มูลค่า 955 ล้านบาท รถยนต์ 880 คัน มูลค่า 478 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ 1,365 รายการ มูลค่า 85 ล้านบาท และอื่นๆ อีกหลายรายการ รวมยึดทรัพย์สินทั้งสิ้นมูลค่ากว่า 2,404 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 40 ของเป้าหมายรัฐบาล
นอกจากนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดทำโครงการป้องกัน และแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดในชุมชน การบำบัดรักษา รวมไปถึงช่วยเหลือผู้ติดยาเสพติดแบบองค์รวม โดยใช้ชุมชนเป็นศูนย์กลางในพื้นที่หมู่บ้าน และชุมชน รวม 1,483 ชุมชน เพื่อให้ชุมชนทั่วประเทศได้นำรูปแบบไปเป็นแนวทางการปฏิบัติในการดูแลผู้ใช้ยาเสพติดได้อย่างเป็นระบบและยั่งยืนต่อไป
สำหรับกรณีที่ตำรวจนครซิดนีย์ ยึดไอซ์ น้ำหนัก 316 กิโลกรัม มูลค่าถึงประมาณ 100 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือราว 2,400 ล้านบาท ซ่อนไว้ในกล่องเตาปิ้งย่างไฟฟ้า และเครื่องทำน้ำอุ่น บนเรือขนส่งสินค้าลำหนึ่งที่มาจากประเทศไทย และได้เข้าจอดเทียบท่าเรือโบทานีย์ ในนครซิดนีย์ รัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ในอดีตเคยจับดำเนินคดีกับกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดที่เกี่ยวข้องในประเทศออสเตรเลีย จึงทำให้มีบทเรียนเกี่ยวกับข้อกฏหมาย ที่สามารถจะใช้ในการดำเนินคดีกับเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติได้
อีกทั้ง ยังมีช่องทางการสืบสวนและกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนของอัยการที่จะใช้ได้อีก แม้ว่าอาจจะมีปัญหาข้อขัดข้องของกฏหมายระหว่าง 2 ประเทศอยู่บ้าง แต่ยืนยันว่า ในส่วนของการสืบสวนขยายผลตำรวจไทยสามารถดำเนินการได้ตามกรอบกฎหมายไทย เท่าที่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่
ขณะที่พล.ต.ท.มนตรี กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ขยายผลความเชื่อมโยงเนื่องจากพบว่าของกลางไปจากประเทศไทย ซึ่งมีความคืบหน้าไป พอสมควร มีความเกี่ยวพันกับการกระทำความผิดที่ผ่านมา เป็นขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติกลุ่มเดิมๆ แต่จะเกี่ยวพันอย่างไร อยู่ระหว่างตรวจสอบ โดยมั่นใจว่าจะจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องได้ ทั้งนี้ตำรวจออสเตรเลียอยู่ระหว่างการขยายผลจากผู้รับปลายทางในประเทศออสเตรเลีย ขณะที่ตำรวจไทย ประสานข้อมูลกับตำรวจออสเตรเลีย
โดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมอบหมายให้ตำรวจภูธรภาค 5 ตำรวจภูธรภาค 6 และตำรวจส่วนกลาง เร่งสืบสวนขยายผลว่ามาจากเครือข่ายใด แต่ยอมรับว่า เป็นเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ ที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติดมีข้อมูลอยู่ เพราะสามารถนำยาเสพติดลักลอบผ่านศุลกากร ขนส่งทางเรือออกนอกประเทศได้ แต่ทั้งนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน เชื่อว่า จะจับผู้ต้องหาได้ โดยตำรวจเรียกตัวผู้ที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลบางส่วน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ และยืนยัน แม้ไม่มียาเสพติดของกลางเป็นหลักฐานในประเทศไทย แต่สามารถดำเนินคดีได้อย่างแน่นอน