MINT เฮ! อียูไฟเขียวเปิดให้เที่ยวข้ามประเทศ
“โรงแรม” เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ จากการระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลให้การเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกแทบหยุดชะงัก
โดยข้อมูลขององค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (UNWTO) ระบุว่าจำนวนนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศในปี 2563 ลดลงกว่า 1 พันล้านคน เมื่อเทียบกับปี 2562
เรียกได้ว่าปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ย่ำแย่ที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์การท่องเที่ยวโลก และเมื่อหันกลับมาดูสถานการณ์ในประเทศไทยแทบไม่ต่างกัน หลังต้องใช้ยาแรงล็อกดาวน์ปิดประเทศ นักท่องเที่ยวต่างชาติจึงไม่สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ถึง 6 เดือน (เม.ย.-ก.ย. 2563)
ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2563 เหลือเพียงแค่ 6.7 ล้านคนเท่านั้น เทียบกับปี 2562 ที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 39.9 ล้านคน ส่วนตลาดไทยเที่ยวไทยก็ซบเซาลงเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกที่มีการระบาดอย่างหนัก ส่งผลให้นักท่องเที่ยวไทยทั้งปีเหลือแค่ 90.74 ล้านคน/ครั้ง ลดลง 47% จากปีก่อน
ภาคการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในช่องทางหลักที่นำรายได้เข้าสู่ประเทศ คิดเป็นสัดส่วนถึง 21% ของจีดีพี และมีการจ้างงานหลายล้านคน ดังนั้น เมื่อการท่องเที่ยวทรุดหนักจากพิษโควิด เศรษฐกิจไทยก็สาหัสไปด้วย
ขณะที่ผู้ประกอบการโรงแรมอาการยังโคม่า ตั้งแต่เกิดโรคระบาดหลายรายไปต่อไม่ไหว โดยเฉพาะรายเล็กๆ ที่สายป่านสั้น ปิดกิจการกันไปเยอะ ส่วนรายใหญ่ที่ฐานทุนหนาต้องแบกรับภาระขาดทุนกันถ้วนหน้า แม้ปีที่แล้วจะมีมาตรการรัฐอย่าง “เราเที่ยวด้วยกัน” เข้ามาช่วย แต่ก็ยังไม่เพียงพอ
ยิ่งมาเกิดการระบาดระลอก 3 สถานการณ์ดูยิ่งเลวร้ายลงไปอีก หลังจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวนมาก กระจายไปหลายคลัสเตอร์ทั่วประเทศ แต่ละจังหวัดยกระดับมาตราการคุมเข้ม ส่งผลให้อัตราการเข้าพักเวลานี้เฉลี่ยแล้วไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำ
ดูแล้วธุรกิจโรงแรมในประเทศปีนี้ยังเหนื่อย ไม่มีใครรู้ว่าจะสามารถควบคุมโรคระบาดได้เมื่อไหร่ แถมยังมีโอกาสเกิดการระบาดระลอกใหม่ได้ทุกเมื่อ ส่วนแผนการเปิดประเทศต้องรอดูว่าจะเป็นไปตามไทม์ไลน์ที่วางไว้หรือไม่ เวลานี้คงต้องฝากความหวังไว้ที่วัคซีนอย่างเดียว
ขณะที่สถานการณ์ในต่างประเทศเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น หลายประเทศ เช่น สหรัฐ จีน และหลายประเทศในยุโรป ประชาชนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง เริ่มมีการเดินทางท่องเที่ยวกันภายในประเทศ
อย่างใน สหภาพยุโรป (อียู) สัปดาห์นี้จะเริ่มเปิดให้เดินทางท่องเที่ยวกันเองในกลุ่มได้แล้ว โดยมีเงื่อนไขว่านักท่องเที่ยวต้องฉีดวัคซีนให้ครบโดส และต้องเป็นวัคซีนที่องค์การอนามัยโลก (WHO) อนุมัติให้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน ได้แก่ ไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค, แอสตร้าเซนเนก้า, จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน, โมเดอร์นา และซิโนฟาร์ม
นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาเปิดให้นักท่องเที่ยวนอกกลุ่มอียูที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะมีการเปิดเผยรายชื่อประเทศที่ได้รับอนุญาตและเงื่อนไขต่างๆ เร็วๆ นี้
สถานการณ์ที่ผ่อนคลายในยุโรปน่าจะเป็นข่าวดีสำหรับผู้ประกอบการอย่างบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เพราะเป็นฐานรายได้หลัก มีสัดส่วนรายได้จากโรงแรมในยุโรปมากถึง 58% ของรายได้กลุ่มโรงแรม
โดยอยู่ภายใต้การบริหารงานของ “เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป” ซึ่งฐานลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยว นักธุรกิจ ในภูมิภาค ซึ่ง 3 ประเทศที่มีรายได้และผลกำไรมากที่สุดของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ได้แก่ สเปน, เนเธอร์แลนด์ และเยอรมนี
การเปิดประเทศให้ท่องเที่ยวกันเองในกลุ่มอียูจะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญต่อการฟื้นตัวของ MINT อัตราการเข้าพักจะเร่งตัวขึ้น หลังปี 2563 อัตราการเข้าพักในทวีปยุโรปและลาตินอเมริกาลดลงเหลือเพียงแค่ 26% เท่านั้น เทียบกับปี 2562 อยู่ที่ 71% ถือว่าสอดคล้องกับที่บริษัทคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในยุโรปจะกลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วงครึ่งหลังปี 2564 หลังการฉีดวัคซีนคืบหน้าไปมาก
ขณะที่รายได้จากโรงแรมในประเทศไทยยังถูกกดดันจากการระบาดของโควิด ต้องอาศัยการปรับตัวด้วยการเข้าร่วมเป็นสถานที่กักกันทางเลือก (Alternative State Quarantine) และสถานพยาบาลผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) ซึ่งร่วมมือกับโรงพยาบาลในพื้นที่ เพื่อประคับประคองธุรกิจในระยะสั้นไปก่อน
โดยบล.เคทีบีเอสที (ประเทศไทย) ระบุว่า หากสัปดาห์นี้อียูไฟเขียวให้สามารถเดินทางท่องเที่ยวกันเองได้ ถือว่าเร็วกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ไว้ว่าจะเริ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังปีนี้ โดยเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป จะได้ประโยชน์มากสุด เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่นในภูมิภาคราว 75-80% และหากเปิดให้ประเทศที่สามเข้ามาเพิ่มเติมได้เร็วจะยิ่งทำให้ผลประกอบการของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป มีโอกาสขาดทุนน้อยกว่าที่คาดไว้