วัดพลังภายในสินเชื่อเงินสด เจอแข่งเดือด-กดดอกเบี้ยต่ำ
ประกาศออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่าการทำ “สงคราม” ในตลาดสินเชื่อเงินสดเกิดขึ้นหลัง”ธนาคารออมสิน” ประกาศร่วมมือกับ “เงินสดทันใจ” หั่นดอกเบี้ยเงินกู้สินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์เหลือ 0.49 % (หรือ 11 % ต่อปี)
ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ถูกที่สุดเป็นประวัติการณ์สำหรับอุตสาหกรรมนี้เลยก็ว่าได้
ก่อนหน้านี้หลังออมสินได้ลงทุนในเงินสดทันใจ ของบริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ด้วยการถือหุ้น 49% ด้วยเม็ดเงิน 1,500 ล้านบาท นั้น ก็มาพร้อมการปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถในอัตราดอกเบี้ย 18 % ต่ำกว่าท้องตลาดที่คิดในอัตราดอกเบี้ย 20 % จากเกณฑ์กำหนดไม่เกิน 24 % และหากเป็นบริษัทนอกตลาดหุ้นบางรายมีสิทธิ์ได้เห็นดอกเบี้ยไปถึง 30-35 %
หลังจากนั้นเริ่มทยอยประกาศกลยุทธ์ใหม่อีกสเต็ปด้วยการรับจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ อัตราดอกเบี้ยโปรโมชั่น 3 เดือนแรกที่ 0.69% ต่อเดือน หรือ 14.99% ต่อปี จนล่าสุดลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ลงชั่วคราว เหลือเพียง 0.49% (หรือเท่ากับ 11% ต่อปี)
โดยมีเงื่อนไขโปรโมชั่น 2 เดือนนี้ (พ.ค.-มิ.ย.)จะได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนี้ตลอดอายุสัญญา ซึ่งให้ลูกค้าที่ต้องการปลอดภาระหนี้ และรีไฟแนนซ์เพื่อลดภาระดอกเบี้ยสัญญาเดิม แน่นอนว่าการประกาศรอบล่าสุดจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายเพราะออมสิน มีนโยบายชัดเจนตั้งแต่เข้ามาแข่งขันในธุรกิจนี้จะขยายบริการไปสู่จำนำทะเบียนรถยนต์ และสนใจจำนำทะเบียนบ้าน ที่ดิน อีกด้วย
เมื่อมีผู้เล่นรายใหม่แต่กลับมีพลังกำลังด้านฐานทุนที่สูงเข้ามาในตลาดพร้อมกับประกาศกดดันดอกเบี้ยให้ต่ำลงต่อเนื่อง ย่อมหวังผลคือสามารถเพิ่มฐานลูกค้าเข้ามาอยู่ในพอร์ตให้ได้มากที่สุด แม้จะทำให้กำไรหายไปแต่การเพิ่มฐานลูกค้าทำให้บริหารต้นทุนได้ดีขึ้น ที่สำคัญแหล่งเงินทุนเพื่อนำมาปล่อยกู้ยังมีดอกเบี้ยที่ถูกที่สุดในบรรดาผู้ประกอบการรายอื่น
ทั้งนี้เปรียบเทียบกับ 3 รายใหญ่ในตลาดสินเชื่อเงินสดแล้วมีความได้เปรียบเสียเปรียบ จากการแข่งขันนี้ไม่น้อย รายแรกคือ SAWAD ที่ถือว่าอยู่ในจุดได้เปรียบมากกว่า 2 ราย เพราะเป็นผู้ร่วมทุนกับออมสิน ซึ่งพอร์ตส่วนใหญ่จะเน้นไปที่จำนำทะเบียนบ้านและที่ดิน และรถยนต์ ส่วนรถจักรยานยนต์ถือว่ามีประมาณ 20 % ของพอร์ต ทำให้ผลกระทบมีแต่ไม่มากและยังได้ลูกค้าใหม่ที่ร่วมกับออมสิน
ขณะที่บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC เป็นรายใหญ่เทียบกับ 2 รายจำนวนสาขา 4,798 สาขา แต่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากประเด็นดังกล่าว เนื่องจากปล่อยสินเชื่อส่วนใหญ่ คือมอเตอร์ไซต์ รองลงมารถยนต์ ซึ่งหากเทียบกับฐานต้นทุนย่อมเสียเปรียบจากการออกหุ้นกู้ล่าสุดดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.9-3.5 %
รวมทั้งการเป็นสแตนอโลนไม่มีสถาบันการเงินเข้ามาเป็นพันธมิตรทำให้มีความเสียเปรียบกว่ารายอื่น ดังนั้นต้องดูว่าจะกดดันทำให้ MTC ยอมลดดอกเบี้ยลงมาแข่งขันอยู่ในระดับเดียวกันหรือไม่เพราะจะทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM)ที่ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 19 % ต้องลงมาอีก
แต่ทั้งนี้กลยุทธ์การแข่งขันยังมีช่องทางให้ MTC สู้ได้อยู่เพราะการกดดอกเบี้ยลงมาของออมสินและเงินสดทันใจ เน้นลูกค้าที่มีเอกสารการเงินที่ดีและหากผิดนัดชำระเกิน 1 เดือน ดอกเบี้ยกลับไปอยู่ที่ 18 % ทำให้คู่แข่งใช้ช่องทางนี้ทำกลยุทธ์ตอบโต้ได้
สำหรับรายสุดท้าย บริษัทเงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR ที่พึ่งเข้าตลาดหุ้นมาได้ไม่นานพร้อมเม็ดเงินที่ระดมทุนไป 33,105 ล้านบาท บวกกับมีสถาบันการเงินเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่จึงทำให้ไม่น่ากังวลใจในด้านต้นทุนแข่งขันกับรายอื่นไม่ได้
รวมทั้งพอร์ตลูกค้าส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อจำนำทะเบียนรถส่วนใหญ่ประมาณ 75-76% ของสินเชื่อทั้งหมด 50,000 กว่าล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้มีทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถบรรทุก รถแทรกเตอร์และรถไถ และที่เหลือโครงสร้างรายได้ยังกระจายไปยังสินเชื่อเช่าซื้อหรือลิสซิ่งรถบรรทุกมือสอง และบริการนายหน้าประกันวินาศภัยรายใหญ่ในตลาด
สิ่งที่น่ากังวลคือการขยายพอร์ตลูกค้าจะเป็นไปตามเป้าหมายได้แค่ไหนท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง และการกดกันดอกเบี้ยให้ลงมาต่ำให้ได้ ซึ่งสุดท้ายถ้ามีการปรับดอกเบี้ยลงมาจริงทั้งอุตสาหกรรมจะทำให้เกิดผลต่อการคาดการณ์เติบโตเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย