มุ่งพัฒนาฯ เล็งโมเดลธุรกิจใหม่ รุกโลจิสติกส์ เสริมแกร่งอีโคซิสเทม
กางแผน 9 เดือนปี 64 มุ่งพัฒนาฯ จัดองคาพยพลุยธุรกิจปั้นโมเดลโลจิสติกส์ บริการลูกค้า เดินหน้าออกสินค้าใหม่ ดันส่วนแบ่งตลาดติดท็อป3 เจรจาซื้อและควบรวมกิจการต่อเนื่อง หวังสร้างการเติบโตต่อเนื่อง
นางสาวสุวรรณา โชคดีอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มุ่งพัฒนา อินเตอร์แนชชั่นแนล จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2564 บริษัทให้ความสำคัญกับการออกสินค้าใหม่ รวมถึงขยายโมเดลธุรกิจใหม่เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นการไม่จำกัดตัวเองเป็นเพียงผู้จัดจำหน่ายและทำตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคอีกต่อไป สำหรับโมเดลธุรกิจใหม่ที่จะรุกตลาด คือขยายสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ เพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจหรืออีโคซิสเทมให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น รองรับการบริการลูกค้าให้มีประสิทธิภาพ
ส่วนแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเข้ามาเติมพอร์ตโฟลิโอ จะโฟกัสสินค้าอุปโภคบริโภคหมวดเครื่องใช้ส่วนบุคคลหรือเพอร์ซันนอลแคร์ สินค้าในครัวเรือน เช่น ออกผ้าเปียกทีมีส่วนผสมแอลกอฮอล์ 50%ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากและฟัน ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม สินค้าแม่และเด็ก รวมถึงผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ฯ จากปัจจุบันสินค้าหลักของบริษัทอยู่ในหมวดแม่และเด็กทั้งขวดนม จุกนมแบรนด์ พีเจ้น สัดส่วนถึง 68% ซึ่งสถานการณ์ตลาดดังกล่าวมีความเสี่ยงจากประชากรเด็กแรกเกิดลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่พฤติกรรมของพ่อแม่ยังคงเลือกซื้อสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มให้กับลูกอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา บริษัทมีการเปิดตัวสินค้าใหม่เข้าทำตลาดหลายรายการ เช่น เครื่องดื่มสมุนไพรจับเลี้ยงแบรนด์เบา(BAO) สำลี กระดาษเปียกทำความสะอาดแบรนด์วีแคร์ เป็นต้น ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค โดยเฉพาะกระดาษเปียกวีแคร์ มีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 10% จาก 7.5% ซึ่งห่างจากคู่แข่งเบอร์ 3 เพียงเล็กน้อย โดยมีส่วนแบ่งตลาด 10.4%
สำหรับภาพรวมตลาดกระดาษเปียกทำความสะอาดสำหรับผู้ใหญ่มีมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท หดตัว 11% เป็นผลจากโรคโควิด-19 ระบาด กำลังซื้อผู้บริโภคอ่อนตัวลง ประกอบกับมาตรการเปิดปิดห้างค้าปลีก ทำให้ผู้บริโภคเดินซื้อสินค้าดังกล่าวผ่านช่องทางซูเปอร์มาร์เก็ตลดลง 9% ส่วนช่องทางร้านสะดวกซื้อลดลง 13% มีเพียงช่องทางร้านขายยาที่เติบโตสูงถึง 158%
ด้านการทำตลาดในปีนี้ จะเน้นใช้เงินลงทุนด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากขึ้น โดยจะไม่โฟกัสใช้สื่อโฆษณาออฟไลน์มากนัก ทำตลาดดิจิทัลมากขึ้น เข้าหาความต้องการลูกค้าเชิงลึกหรืออินไซต์ บริหารช่องทางการรับรู้แบรนด์ให้ตรงเป้าหมาย ส่วนกิจกรรม ณ จุดขายหรือออนกราวด์ยังคาดการณ์ยากจะกลับมาจัดได้เมื่อใด
นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าให้กว้างขวางยิ่งขึ้นทั้งห้างค้าปลีก ร้านค้าทั่วไป รวมถึงออนไลน์ที่ไตรมาส 1 มีการเติบโตสูงถึง 565% ขณะที่ช่องทางห้างค้าปลีกหดตัวลงและยังไม่ฟื้นตัวกลับมา ทำให้ภาพรวมยอดขายไตรมาสแรกช่องทางห้างค้าปลีกสมัยใหม่อยู่ที่ 48% ลดลงจากเดิม 51% ร้านค้าทั่วไป 45% เติบโตจากเดิม 40%
ส่วนการซื้อและควบรวมกิจการยังมีการเจรจากับพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
“ปีนี้บริษัทพยายามนำเสนอสินค้าใหม่ๆ เข้าทำตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันการเติบโตส่วนแบ่งทางการตลาดให้ติดท็อป 3 ทั้งผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก ผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก ส่วนเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจะหาเซ็กเมนต์ใหม่ๆเข้ามาเสริม ด้านช่องทางจำหน่ายจะสปีดการรุกตลาดอีคอมเมิร์ซ ซึ่งหลังจากบริษัทพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง”
สำหรับผลประกอบการไตรมาสแรกบริษัทสร้างยอดขายรวม 191.4 ล้านบาท เติบโต 1.7% ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 213 ล้านบาท เติบโต 0.3% มีกำไรสุทธิ 23.3 ล้านบาท เติบโต 111% เป็นผลจากการควบคุมค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ โฟกัสการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า
“โรคโควิด-19 กระทบกำลังซื้อ ช่องทางห้างค้าปลีก ร้านค้าทั่วไปลูกค้าน้อยลง แต่ออนไลน์เติบโต จึงบาลานซ์พอร์ตให้ดี มีแผน 2-3 รองรับ ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2 สถานการณ์ยังไม่แน่นอน แต่บริษัทคาดว่าจะรักษาการเติบโตได้ ไตรมาส 1 มียอดขายบวกเล็กน้อย อย่างน้อยไตรมาสต้องบวกเมื่อเทียบกับปีก่อน”