โฆษก ตร. แจงจับ 'ลุงพล' ตามหมายเป็น 'ผู้ต้องหา' ไม่ใช่มอบตัว
โฆษกตร. เผยคดี "ลุงพล" จะเข้ามอบตัวหรือจับกุมตัว ไม่มีผลทางกฎหมาย เหตุถูกออกหมายจับแล้ว มีสภาพเป็น "ผู้ต้องหา" ระบุตำรวจมีหน้าที่จับกุม พบเห็นตัวปรากฎต่อหน้า หากไม่จับกุมอาจเข้าข่ายละเว้นการปฎิบัติหน้าที่
หลังจากที่ พ.ต.อ.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผบก.ปส.3 ได้จับกุมตัวนายไชย์พล วิภา หรือ "ลุงพล" ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดมุกดาหาร ในข้อหาพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร, ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกิน 9 ปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย, และกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป ต่อมาสื่อมวลชนอาจมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเป็นการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ หรือรับมอบตัว นั้น
เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(โฆษก ตร.) ชี้แจงว่า เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ที่ผ่านมา พ.ต.อ.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผบก.ปส.3 ได้เข้าแสดงหมายจับ และจับกุมตัวนายไชย์พล ได้บริเวณโถงชั้นล่าง อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) จากนั้นได้ควบคุมตัวนายไชย์พล ส่งพนักงานสอบสวนสน.ปทุมวัน เพื่อแจ้งข้อกล่าวหา และลงบันทึกประจำวัน ก่อนส่งตัวกลับไปดำเนินคดีที่ สภ.กกตูม จ.มุกดาหาร และยืนยันว่ากรณีนายไชย์พล "ลุงพล" เป็นการจับกุมตัวตามหมาย ไม่ใช่การรับมอบตัวแต่อย่างใด
โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า การที่ผู้ต้องหาเข้ามอบตัว หรือการจับกุมตัว ไม่ได้มีผลในทางกฎหมาย เนื่องจากผู้ต้องหาถูกออกหมายจับ จะมอบตัวหรือจับกุมตัว ก็ต้องถูกแจ้งข้อกล่าวหา และมีสภาพเป็นผู้ต้องหาอยู่แล้ว แต่การมอบตัว ฝ่ายผู้ต้องหาหรือผู้เกี่ยวข้อง อาจยกขึ้นเป็นเหตุผลในการขอปล่อยตัวชั่วคราว โดยมีเหตุผลในเรื่องการไม่มีพฤติกรรมหลบหนี แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของพนักงานสอบสวน หรือของศาลแล้วแต่กรณี
อย่างไรก็ตาม ตำรวจที่จับกุมนายไชย์พล หรือ "ลุงพล" มีอำนาจและหน้าที่ในการจับกุมตามหมายอยู่แล้ว หากพบเห็นนายไชย์พล ปรากฎตัวต่อหน้า แล้วไม่ดำเนินการจับกุม อาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่