คลื่นแรงงานย้ายถิ่น กับศักยภาพชุมชนท้องถิ่น

คลื่นแรงงานย้ายถิ่น กับศักยภาพชุมชนท้องถิ่น

เจาะลึกการย้ายถิ่นของประชากรไทย ปี 2563 ในช่วงวิกฤติโควิด-19 โดยเฉพาะการย้ายเข้าสู่ชุมชนท้องถิ่น แล้วศักยภาพของชุมชนท้องถิ่นมีความสามารถด้านการจ้างงานเป็นอย่างไรบ้าง?

เจาะลึกการย้ายถิ่นของประชากรปี 2563 ในช่วงวิกฤติโควิด-19 นำเสนอศักยภาพของชุมชนท้องถิ่นว่าจะสามารถโอบอุ้มดูดซับแรงงาน และใช้จังหวะนี้เร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมให้เข้มแข็งและยั่งยืนในโลกนิวนอร์มอลได้หรือไม่อย่างไร

  • เจาะลึกการย้ายถิ่นของประชากรปี 63 : กลับถิ่นแยกกันเพื่อรอดและพึ่งพิงฐานเกษตร

ผลสำรวจการย้ายถิ่นประชากรทั้งประเทศ ในปี 2563 คนไทยกว่า 68 ล้านคน มีผู้ย้ายถิ่น 1.05 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง 60% จากปี 2562 ที่มีจำนวน 6.6 แสนคน โดย กทม.ครองแชมป์เมืองที่มีคนย้ายทั้งเข้า-ออกสูงสุด ส่วนรูปแบบการย้ายถิ่นทั้งสองปีมีทิศทางคล้ายคลึงกัน แต่ปี 2563 มีจำนวนคนย้ายถิ่นมากกว่า

162272872375

จากมุมมองย้ายถิ่นขาออก พบว่าคนย้ายออกจาก กทม. 127,344 คน เป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือชลบุรี 55,906 คน เชียงใหม่ 50,702 คน ภูเก็ต 42,427 คน และระยอง 41,325 รวมกันถึง 3.2 แสนคน เพราะเป็นจังหวัดที่เป็นแหล่งงาน แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ จากมุมมองการย้ายถิ่นขาเข้า จังหวัดที่มีคนย้ายถิ่นเข้าสูงสุด คือ กทม. รองลงมาคือปทุมธานี เชียงใหม่ โคราช และสมุทรปราการ หากเราจำแนกสูงสุดในแต่ละภาค คือ กทม. 84,375 คน เชียงใหม่ 52,344 คน นครราชสีมา 40,758 คน และนครศรีธรรมราช 35,821 คน

นอกนั้นกระจายไปตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ เป็นผลจากการปิดสถานประกอบการจากมาตรการล็อกดาวน์ครั้งแรกและครั้งที่สองในปี 2563 แรงงานกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนัก คือแรงงานที่ทำงานในภาคบริการ โรงแรม และภัตตาคาร ต่างพากันกลับบ้านเกิดไปตั้งหลักพึ่งพิงฐานเกษตร ไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายในเมืองได้ต่อไป

สอดคล้องกับผลสำรวจด้านอาชีพผู้ย้ายถิ่น กลุ่มใหญ่สุดคือกลุ่มอาชีพที่ใช้ทักษะปานกลางและต่ำ คือ อาชีพงานบริการ 2.8 แสนคน และอาชีพพื้นฐาน 1.8 แสนคน (44 % ของคนย้ายถิ่นทั้งหมด) ส่วนใหญ่จบการศึกษา ม.6 และ ปวช. 2.7 แสนคน (27%) และน่าจะเป็นแรงงานนอกระบบที่ไม่ได้รับความคุ้มครองและไม่มีหลักประกันทางสังคมจากการทำงาน ซึ่งประชากรย้ายถิ่นมากกว่า 65% มีรายได้ 300-500 บาทต่อวัน

ด้านโครงสร้างตลาดแรงงานไทยจากมุมมองด้านอายุและการศึกษา พบว่ากลุ่มประชากรที่ย้ายถิ่นกลับต่างจังหวัด กลุ่มใหญ่สุดคือแรงงานเยาวชนอายุ 15-24 ปี ประมาณ 3.2 แสนคน (31%) ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานในธุรกิจบริการทั้งโรงแรม ภัตตาคารและร้านอาหาร และค้าปลีก มีความเสี่ยงถูกเลิกจ้างหรือได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 มากกว่ากลุ่มอายุอื่นๆ

  • ศักยภาพของชุมชนท้องถิ่นและความสามารถด้านการจ้างงานเป็นอย่างไร?

จากรายงานดัชนีความก้าวหน้าของคน ปี 2562 ประเมินการพัฒนาด้านคนรายจังหวัดในหลากหลายด้าน เช่น ด้านสุขภาพที่ดี ด้านการศึกษา ด้านชีวิตการงาน ด้านรายได้ และด้านการคมนาคมและสื่อสาร พบว่าคะแนนเต็ม 1.0 ไทยเราได้ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.6219 ถือว่ามีศักยภาพค่อนข้างดี และได้คะแนนด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมมากที่สุด จังหวัดที่มีความก้าวหน้าสูงสุดคือ นนทบุรี กทม. ปทุมธานี ภูเก็ต และระยอง น้อยสุดคือ นราธิวาส ปัตตานี แม่ฮ่องสอน สุรินทร์ และบุรีรัมย์

อัตราการว่างงานรายจังหวัดปี 2563 ซึ่งเป็นหนึ่งในดัชนีด้านชีวิตการงาน พบว่าปัญหาการว่างงานสูงขึ้นเกือบทุกจังหวัด จาก 1.0 %ในปี 2562 (3.7 แสนคน) เป็น 1.9% ในปี 2563 (7.3 แสนคน) นับเป็นความท้าทายของชุมชนท้องถิ่น ในการเตรียมพร้อมรองรับแรงงานย้ายถิ่นขนาดใหญ่ครั้งนี้

สำหรับชุมชนที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยวจะเผชิญกับความผันผวนของราคาและปัญหาภัยแล้งจะไม่สามารถเป็นหลังอิงให้กับแรงงานคืนถิ่นได้ ตรงกันข้ามกับชุมชนที่มีฐานเข้มแข็ง ดูแลทรัพยากรธรรมชาติทั้งดิน น้ำ ป่าได้ดี และมีฐานการเงินของชุมชนที่เข้มแข็ง แรงงานคืนถิ่นจะช่วยเพิ่มแรงงานสร้างความมั่นคงอาหารและเศรษฐกิจได้

162272878029

  • ท้องถิ่นควรใช้จุดแข็งที่มีและสร้างนวัตกรรมให้ชุมชนเข้มแข็งในโลกนิวนอร์มอล

ท้องถิ่นควรคว้าโอกาสนี้เร่งพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง โดยใช้งบพัฒนาที่ภาครัฐส่งให้ภายใต้โครงการช่วยเหลือลดผลกระทบวิกฤติโควิด-19 ปรับโครงสร้างพัฒนาท้องถิ่น สร้างงานในระยะสั้นรองรับแรงงานย้ายคืนถิ่น ขณะเดียวกันก็เร่งพัฒนาศักยภาพเมืองในระยะยาว เช่น การลงทุนด้านสาธารณสุข การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและอาชีพโดยชุมชน การพัฒนาแหล่งน้ำ การพัฒนาทักษะและสร้างอาชีพแก่แรงงาน รวมถึงการพัฒนาระบบสวัสดิการแรงงาน

โดยต่อยอดกับทุนเดิมด้านการเกษตร ทุนทางปัญญา ทุนวัฒนธรรมและประเพณี ทุนภูมิปัญญาพื้นบ้าน และแหล่งท่องเที่ยวและสินค้าเอกลักษณ์ของท้องถิ่น ที่ได้วางพื้นฐานไว้แล้วกว่า 10 ปี คือมีรูปแบบเป็น “พัฒนาเมืองต้นแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์” ทั้งกลุ่ม 10 เมืองหลัก และ 20 เมืองตัวอย่าง เช่น ชัยนาท เมืองเมล็ดพันธุ์ข้าว, เชียงราย เมืองพัฒนาดอยตุง, เชียงใหม่ เมืองหัตถกรรมสร้างสรรค์, น่าน เมืองเก่ามีชีวิต, ยะลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจนก, มหาสารคาม เมืองแห่งการเรียนรู้สู่การพัฒนาชุมชน และขอนแก่น เมืองอัจฉริยะและภูมิปัญญาผ้าไหม

โดยให้เป็นไปตามทิศทางที่ระบุไว้แล้วในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อเพิ่มศักยภาพชุมชนท้องถิ่นให้สามารถพึ่งพาและบริหารจัดการตัวเองได้ รวมทั้งเป็นเมืองเศรษฐกิจสีเขียวเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าด้วยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งชุมชน ธุรกิจ และภาครัฐที่มีขนาดเล็กลง ทันสมัยและโปร่งใส จะทำให้ชุมชนท้องถิ่นก้าวพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันได้ และเชื่อว่าในทุกวิกฤติย่อมมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ “In the midst of every crisis lies great opportunity” Albert Einstein

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน