ดีเดย์ !! 25 มิ.ย.สกัด'เด็กยากจนพิเศษ' หลุดจาก 'ระบบการศึกษา'
สพฐ - กสศ. ผนึกคุณครู เขตพื้นที่ เดินหน้าดูแล 'เด็กยากจนพิเศษ' บรรเทาความเดือดร้อนช่วงโควิด-19 ดีเดย์ วันที่ 25 มิ.ย.สกัดเด็กหลุดจาก 'ระบบการศึกษา' ผ่านการเชื่อมฐานข้อมูล DMC-CCT ทั่วประเทศเช็คเด็กเสี่ยงหลุด
วันนี้ (21มิถุนายน 2564) ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยว่า กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา 'กสศ.'ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 'สพฐ.' จัดประชุมชี้แจงการดำเนินโครงการจัดสรรเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษแบบมีเงื่อนไข 'นักเรียนทุนเสมอภาค' ประจำภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษาในสังกัด สพฐ. ผ่านระบบออนไลน์ (Zoom Meeting) เมื่อวันที่17มิถุนายน ที่ผ่านมา
โดยจากการร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงในโครงการจัดสรรเงินอุดหนุนแบบมีเงื่อนไข ระหว่าง สพฐ. และ กสศ. ผ่านมา 2-3 ปี ตัวเลข นักเรียน 'เด็กยากจนพิเศษ'เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสCOVID-19 ภาคเรียนที่ 2/2563 มี'เด็กยากจนพิเศษ' (ทุนเสมอภาค) กว่า1.1 ล้านคน
- 'สพฐ.'และ 'กสศ.' ร่วมดูแล 'เด็กยากจนพิเศษ'
ทุกฝ่ายในสังคม ทั้งรัฐบาล สภาผู้แทนราษฎรให้ความสำคัญในการดูแลช่วยเหลือนักเรียนยากจนพิเศษ ผู้ด้อยโอกาส เพื่อลดช่องความเหลื่อมล้ำในสังคม ล่าสุดในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสCOVID-19
'กสศ.'ได้จัดสรรเงินอุดหนุนเพิ่มเติมให้แก่'นักเรียนทุนเสมอภาค'กลุ่มช่วงชั้นรอยต่อ (อนุบาล 3 ประถมศึกษาปีที่ 6 และ มัธยมศึกษาปีที่ 3) เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษาในการเตรียมความพร้อมการศึกษาต่อในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 อัตราคนละ 800 บาท กว่า 286,390 คน ครอบคลุมสถานศึกษา24,798 แห่ง
ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากครู ผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่เขตพื้นที่การศึกษา ณ วันที่ 31 พ.ค.64 ตามที่สถานศึกษารายงานมาพบว่า มี "นักเรียนทุนเสมอภาค" กลุ่มรอยต่อที่คาดว่าจะไม่ศึกษาต่อ 5,654 คน และมีนักเรียน 8,944 คน ที่อาจยังไม่ได้รับเงินอุดหนุนดังกล่าว เนื่องจากสถานศึกษายังไม่ได้รายงานเข้ามา ดังนั้น จึงขอให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากำกับติดตามและหากสถานศึกษาใดไม่สามารถจ่ายเงินให้นักเรียนได้แล้ว ขอให้ส่งคืนเงินกลับไปยัง 'กสศ.'ตามขั้นตอนต่อไป
นอกจากนี้ 'สพฐ.' และ 'กสศ.'ได้รายงานความก้าวหน้ามาตรการให้ความช่วยเหลือ "นักเรียนทุนเสมอภาค" กลุ่มรอยต่อ แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นางสาวตรีนุช เทียนทอง) โดยท่าน รมว.ศธ. ได้ให้ความสำคัญกับนโยบายการช่วยเหลือนักเรียนกลุ่มรอยต่อ เพื่อป้องกันมิให้นักเรียนหลุดออกจากระบบการศึกษา
- ป้องกันเด็กหลุดออกนอก 'ระบบการศึกษา'ภาวะโควิด 19
ขอให้ 'กสศ.'ทำงานร่วมกับ 'สพฐ.' โดยเชื่อมโยงและส่งต่อฐานข้อมูล DMC และ CCT กลุ่มนักเรียนที่มีความเสี่ยงและมีแนวโน้มที่ไม่ศึกษาต่อในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ให้แก่ 'สพฐ.' เพื่อให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษาติดตามช่วยเหลือนักเรียนให้สามารถกลับสู่ระบบการศึกษาในช่วงเปิดเทอมใหม่นี้ได้อย่างทันเวลา และเพื่อเป็นการลดภาระงานครูในการทำงานที่ซ้ำซ้อนด้วย
ว่าที่ร้อยตรี ธนุ กล่าวว่า ควรจะมีการพัฒนากลไกสนับสนุนการดำเนินการในเขตพื้นที่การศึกษา ทั้งกำกับ ส่งเสริม สนับสนุนดูแลช่วยเหลือ และการคัดกรองนักเรียน ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ อย่าง CCT ซึ่งสามารถดูได้ว่านักเรียนยากจนพิเศษในพื้นที่มีกี่คน โรงเรียนไหนกี่คน เพื่อเข้าไปดูแลอย่างทั่วถึง
อีกทั้งต้องมีการพัฒนาครู ผู้ปฏิบัติงานผ่านระบบ อบรมออนไลน์ ซึ่งในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 นี้ ควรเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสที่สามารถจัดอบรมด้วยการใช้ระบบเทคโนโลยี อีกทั้งต้องสร้างความตระหนักและความเข้าใจเงื่อนไขการรับเงินอุดหนุนให้กลุ่มผู้ปกครอง
โครงการนี้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี นักเรียนยากจนพิเศษได้รับการดูแลดีขึ้นเรื่อยๆ นับเป็นความสำเร็จความภาคภูมิใจร่วมกันของ สพฐ. อีกทั้งในระดับเขตพื้นที่การศึกษา ระดับสถานศึกษา ครูที่เอาใจใส่เยี่ยมบ้านเด็ก โดยไปสัมภาษณ์ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน ให้กำลังใจในภาวะที่ยากลำบากต้องทำงานอย่างหนักเพื่อไปดูแลนักเรียนที่เป็นภารกิจสำคัญ
"ขอขอบคุณทุกฝ่ายที่สนับสนุนการดำเนินการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ให้เด็กยากจนพิเศษได้รับการดูแลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และต้องขอขอบคุณคุณครู เพราะที่ต้องใช้เวลาวันหยุดราชการไปในการคัดกรองนักเรียน เพราะวันธรรมดาต้องสอนหนังสือ คุณครูทำงานหนักมากเนื่องจากสอนแบบ on-site ไม่ได้ จึงคิดการสอนในรูปแบบอื่น” ว่าที่ร้อยตรี ธนุ กล่าว
ว่าที่ร้อยตรี ธนุ กล่าวว่า นับเป็นความร่วมมือที่สวยงามระหว่าง 'สพฐ.'และ 'กสศ.' ในการดูแลเด็กนักเรียนอีกหลายสังกัด เช่น ตชด. อปท. พศ. ฯลฯ ซึ่งสิ่งที่กังวลจากผลกระทบทางเศรษฐกิจและเชื่อว่าเด็กยากจนและยากจนพิเศษจะเพิ่มมากขึ้น เพราะผู้ปกครองนักเรียนลำบากมากขึ้น ทั้งหมดเชื่อมโยงเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การศึกษา วันนี้ผู้ปกครอง โรงเรียน ได้รับผลกระทบ 'กสศ.'ก็ถูกปรับลดงบประมาณ กระทรวงศึกษาธิการก็ถูกปรับลดงบประมาณเช่นกัน แต่เราต้องคิดงานในรูปแบบใหม่ แม้จะมีงบประมาณเท่าไหร่ก็ตาม เป้าหมายผลผลิตหลักคือเด็กนักเรียนต้องได้รับการดูแลเหมือนเดิม
- ดีเดย์ 25 มิ.ย.นี้ ตรวจสอบข้อมูลรายบุคคล ค้นหาเด็ก
ด้าน ดร.ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการ 'กสศ.' กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ทำให้ ผู้ปกครองมีรายได้ลดลง มีรายจ่ายเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะบุตรหลานนักเรียนช่วงชั้นรอยต่อที่ต้องย้ายไปเรียนที่ใหม่ที่ยิ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้น จึงนำมาสู่การช่วยเหลือสนับสนุนนักเรียนช่วงชั้นรอยต่อจำนวน 800 บาท ที่จ่ายเงินไปถึงมือเด็กแล้ว 2.77 แสนคน จากนักเรียนที่ได้รับการจัดสรรทั้งหมด 2.86 แสนคน
ขณะเดียวกันพบเด็กประมาณ1แสนคน ที่ย้ายโรงเรียนไปเรียนในพื้นที่อื่น และมีเด็กนักเรียนที่ไม่เรียนต่อ ช่วงชั้น ป.6 และ ม.3 ประมาณ 5,654 คน หรือ1.97% มีสาเหตุสำคัญมาจากต้องไปทำงาน/ ผู้ปกครองไม่ให้ศึกษาต่อ/ ช่วยผู้ปกครองทำงานหารายได้ / ไม่มีค่าธรรมเนียมค่าเล่าเรียน มีความบกพร่องทางด้านร่างกาย ไม่มีค่าเดินทาง ซึ่งต้องช่วยกันหาทางแก้ปัญหาให้กับเยาวชนที่จะเป็นเสาหลักของครอบครัวต่อไปในอนาคต
ทาง 'กสศ.' และ 'สพฐ.' จึงมีแผนความร่วมมือกันพัฒนาระบบการติดตาม และส่งต่อนักเรียนกลุ่มรอยต่อนี้ผ่านการเชื่อมโยงระบบสารสนเทศ DMC และ CCT ของ 'สพฐ.' และ 'กสศ.' เข้าด้วยกัน ให้เกิดเป็นระบบเฝ้าระวังเด็กหลุดออกจาก 'ระบบการศึกษา' (Early Warning System) ที่สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องทุกปีการศึกษาต่อไปในอนาคต โดยในปีนี้จะมีการเชื่อมระบบกันในวันที่ 25 มิ.ย. 2564 เพื่อตรวจสอบข้อมูลรายบุคคลนักเรียนทั่วประเทศเพื่อค้นหาเด็กเสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษา
นอกจากนี้ 'กสศ.' และ 'สพฐ.' ยังได้ปรังปรุงพัฒนาระบบการบันทึกข้อมูลใน CCT App ให้สามารถทำหน้าที่เป็น One Application ที่สามารถลดภาระงานครู คืนเวลาให้ครูกลับสู่ห้องเรียน และสามารถสนับสนุนการบูรณาการข้อมูลสารสนเทศร่วมกับ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อบูรณาการงบประมาณในการดูแลสุขภาวะขั้นพื้นฐานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโอกาสทางการศึกษาของเด็กเยาวชนในครัวเรือนยากจนด้อยโอกาส
โดยจะเริ่มทดลองนำร่องใน 29 พื้นที่ ครอบคลุม 602 โรงเรียน ซึ่งต้องขอขอบคุณครู ผู้บริหาร สถานศึกษาที่ลงไปเยี่ยมบ้าน กรอกข้อมูล นำไปสู่การสร้างโอกาสให้กับเด็กทุกคน