เปิดสถิติ 'วันแม่หม้ายสากล' เมื่อผู้หญิง ‘หย่าร้าง’ มากขึ้น
เนื่องในโอกาส “วันแม่หม้ายสากล” ปี 2564 ชวนดูสถิติ คนทั่วโลก “หย่าร้าง” กันมากเท่าไหร่ในช่วงโควิดนี้, ทำไมผู้หญิงถึงกล้าที่จะเป็น “โสด” มากขึ้น และวิธีไหนที่จะช่วยประครองให้ความสัมพันธ์ไปรอดในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้
วันที่ 23 มิถุนายน ของทุกปีเป็น “วันแม่หม้ายสากล” ซึ่งได้มีขึ้นเพื่อให้ตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบที่แม่หม้ายต้องเผชิญหลังจากสูญเสียสามีหรือได้ทำการแยกทางกับสามี โดยบางคนต้องทนทุกข์ทรมานกับการแยกทางเพราะความยากจนหรือปัญหาอื่นๆ ที่ตามมา
ในปี 2564 นี้ กำลังจะครบรอบ 11 ปีที่สมัชชาแห่งสหประชาชาติได้ทำการรับรอง “วันแม่หม้ายสากล” ขึ้นอย่างเป็นทางการเพราะตระหนักและเห็นความสำคัญต่อประเด็นปัญหานี้ (รับรองวันแม่หม้ายสากลอย่างเป็นทางการ ณ วันที่ 21 ธันวาคม 2553)
“กรุงเทพธุรกิจออนไลน์” ชวนดู “คนทั่วโลกเลิกกันมากเท่าไหร่ในช่วงโควิดนี้, ทำไมผู้หญิงถึงกล้าที่จะหย่าร้างมากขึ้น, และวิธีไหรที่จะช่วยประครองให้ความสัมพันธ์ไปรอดในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้”
- สถานการณ์การหย่าร้างทั่วโลกเป็นอย่างไรในช่วงโควิดนี้?
จากการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้คู่รักทั่วโลกต้องเผชิญกับสภาวะที่น่าอึดอัดและทรมานในการใช้ชีวิตร่วมกันกับคนรัก ที่ไม่ “ใกล้กันเกินไป” ก็อาจจะ “ห่างกันเกินไป”
“กรุงเทพธุรกิจออนไลน์” ได้รวบรวมข้อมูลจากประเทศต่างๆ ที่น่าสนใจดังนี้ “ประเทศอเมริกา, ประเทศจีน, ประเทศออสเตรเลีย, และประเทศเกาหลีใต้” สถานการณ์การหย่าขาดแต่ละที่เป็นอย่างไรบ้าง ตามไปดูกัน
“ประเทศอเมริกา” ทางด้านบลูมเบิร์ก รายงานว่า ปี 2563 ที่ผ่านมาประชากรในประเทศทำการหย่าขาดกันสูงมากในช่วงครึ่งปีแรก แต่ในครึ่งปีหลังการหย่าขาดกันกับลดลง ด้วยเหตุผลที่ว่า หลายคนอาจเลือกที่จะอดทนไปก่อน เพราะการหารายได้และหาที่พักอาศัยใหม่ในช่วงที่ผ่านมาเป็นไปได้ยาก และภาพรวมทั้งปี 2563 มีอัตราการแต่งงานของคู่รักที่ลดลง เนื่องจากได้ทำการเลื่อนหรือยกเลิกเพราะสถานการณ์การระบาดของโควิด เช่นกัน
ในส่วนของ “ประเทศจีน” สำนักข่าวบีบีซี ได้เปิดเผยข้อมูลว่า จากสถานการณ์โควิดที่ทำให้ทุกคนต้องอาศัยอยู่ด้วยกันตลอดเวลาเป็นเวลายาวนาน การเงินติดลบ และปัญหารุมเร้าที่มากขึ้น ทำให้เกิดความขัดแย้งได้อย่างง่าย
ทางด้าน “ประเทศออสเตรเลีย” สำนักข่าวเดอะออสเตรเลียน รายงานว่า ในปี 2563 ที่ผ่านมา การสมรสได้ลดต่ำลงถึง 30% นอกจากนี้สิ่งที่น่าตกใจคือ ทางกูเกิลได้รายงานว่า คำที่ถูกค้นหามากที่สุดใน กูเกิลของออสเตรเลียคือคำว่า “Divorce” (หย่าร้าง) ซึ่งพุ่งขึ้นสูงตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 ไปจนถึงช่วงสิ้นปี และช่วงปีใหม่ โดยที่เทศกาลต่างๆ ก็ไม่สามารถทำลายสติถิการค้นหาคำนี้ในประเทศได้
นอกจากนี้ “ประเทศเกาหลีใต้” สำนักข่าวโคเรียจุงอัง ภายใต้นิวยอร์กไทม์ ได้มีรายงานออกมาว่า คนเกาหลีได้ทำการหย่าร้างถึงเกือบ 1หมื่นคน คิดเป็น 3.1% นอกจากนี้คนเกาหลียังได้มีการจัดงานแต่งงานที่ลดลงเหลือแค่ 17,080 คู่ ในปี 2563 ที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลสถานการณ์การระบาดของโควิดดังเช่นหลายๆ ประเทศ
- ทำไมผู้หญิงถึงกล้าที่จะหย่าร้างมากขึ้น
จากสถิติขององค์การสหประชาชาติ (UN) เรื่อง “อัตราการหย่าร้างทั่วโลก” ตั้งแต่ปี 2503 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นถึง 251.8% ในทุกๆ ปี โดย “5 ประเทศที่มีอัตราการหย่าร้างมากที่สุด” มีดังนี้
1. ประเทศลักเซมเบิร์ก (ประเทศเล็กๆ ในทวีปยุโรปที่มีประชากรเพียงครึ่งล้าน แต่กลับมีอัตราการหย่าร้างสูงถึง 87%) 2.ประเทศสเปน 65% 3.ประเทศฝรั่งเศส 55% 4.ประเทศรัสเซีย 51% และ 5.ประเทศอเมริกา 46%
ทั้งนี้ในส่วนของ “อัตราการหย่าร้างของประเทศไทย” ทางธนาคารไทยพาณิชย์ได้ทำการสำรวจและวิจัยผ่านหน่วยงานอีไอซี (EIC: Economic Intelligence Center) มีผลสรุปว่า ในปี 2560 “คนไทยนิยมเป็นโสดมากขึ้น, ความถี่การแต่งงานต่ำลง, และอัตราการหย่าร้างสูงขึ้นเฉลี่ย 1.3 แสนคู่รักต่อปี”
เหตุผลที่ผู้หญิงครองตัวเป็นโสด-กล้าที่จะหย่าร้างมากขึ้น
- ต้องการที่จะเครียดน้อยลง เพราะการมีคู่ครองมาพร้อมด้วยภาระอันมากมายที่ไม่สามารถเลี่ยงได้ เช่น งานบ้าน ต้องจัดเตรียมอาหาร และต้องเลี้ยงลูก เป็นต้น
- ไม่ชอบการคาดหวัง
- ต้องการมีสุขภาพจิตใจและร่างกายที่ดีขึ้น
- เพิ่งรู้ตัวว่ารักในอิสระ-เสรีภาพมากกว่า
นอกจากนี้ประเทศอื่นๆในโซนเอเชียอย่าง ประเทศจีน ประเทศเกาหลีใต้ และประเทศญี่ปุ่น ณ ปัจจุบันมีผู้หญิงเลือกที่จะครองสถานะ “โสด” มากขึ้นเฉลี่ยถึง 30% ในทุกๆ ปี โดย 90% ของประชากรหญิงส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่า “การเป็นโสดคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต”
- วิธีการรักษาความสัมพันธ์ในช่วงการระบาดของโควิด
1.ใช้เวลาห่างจากกันและกันบ้าง
เพราะหากอยู่ใกล้กันทั้งวันอาจสร้างความอึดอัดได้ อาจจะแยกห้องกันทำงานหรือทำกิจกรรม แต่ก็กลับมาใช้เวลานอนร่วมกัน โดยการห่างจากกันชั่วคราวจะทำให้มีสมดุลของความสัมพันธ์
2.หากิจกรรมใหม่ๆ ช่วยกันทำ
เพราะว่าจากสถานการณ์การระบาดของโควิดจึงทำให้ไม่สามารถออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านได้ อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้การอยู่บ้านกับคนรักอย่างไม่น่าเบื่อ คือการหากิจกรรมช่วยกันแก้ปัญหา เช่น เกมตัวต่อ จิ๊กซอว์ แก้ปัญหา หรือชวนกันทำอาหาร ประกอบเฟอนิเจอร์ โดยต้องเป็นสิ่งที่ทั้งคู่รู้สึกน่าท้าทายที่จะลอง
3.รับฟังกันและกันมากขึ้น
ไม่ควรมีใครที่เป็นฝ่ายออกสิทธิ์ ออกเสียงไปมากกว่ากว่ากัน เพราะนั่นเท่ากับว่าเสียงของอีกคนไม่ได้รับการเคารพ การรับฟังซึ่งกันและกันในยามสถานการณ์ที่ตึงเครียดเช่นนี้เป็นสิ่งที่ควรจะทำมากที่สุด และหมั่นชื่นชมกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งกันและกันเพื่อเป็นการเยียวยาจิตใจต่อกัน
4.หลีกเลี่ยงการปล่อยพลังลบสู่กันและกัน
หากรู้สึกอารมณ์ไม่ดีหรือไม่อยู่ในมู้ดที่จะคุยสิ่งต่างๆ ให้เอาตัวเองออกจากผู้คน โดยให้ทำการพักผ่อนหรือทำกิจกรรมที่ทำให้ความเครียดทุเลาลง เช่น การล้างจาน พักสายตา งีบหลับ อาบน้ำ เป็นต้น
เกร็ดความรู้: “แม่หม้าย” กับ “แม่ม่าย” ตกลงใช้คำไหนกันแน่?
-ในอดีต คำว่า “แม่หม้าย” ใช้เรียกผู้หญิงที่คู่สมรสเสียชีวิตและยังไม่ได้แต่งงาน เท่านั้น
-ส่วนคำว่า “แม่ร้าง” ใช้สำหรับเรียกผู้หญิงที่เลิกรากันไปกับฝ่ายชาย (สถานะ “หย่าร้าง” กัน)
-แต่คนในปัจจุบันได้ใช้คำว่า “แม่หม้าย” ปนกันทั้งสองความหมายคือ คู่สมรสเสียชีวิต หรือได้ทำการหย่าร้างกับฝ่ายชาย
-ทางด้านคำว่า “พ่อหม้าย” และ “พ่อร้าง” ก็ใช้ในความหมายทำนองเดียวกันกับที่อธิบายไว้ข้างต้น เพียงแต่สลับตำแหน่งทางเพศกัน
-คำว่า “หม้าย” เป็นคำที่ใช้มาตั้งแต่โบราณ ส่วนคำว่า “ม่าย” เป็นคำที่ทำการใช้ทีหลัง แต่ก็สามารถใช้แทนได้เช่นกันในปัจจุบัน มีความหมายเหมือนกัน และทั้งสองคำนี้ได้ถูกบัญญัติขึ้นในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
-อันที่จริงแล้ว “วันแม่หม้ายสากล” มีขึ้นครั้งแรกในปี 2548 แต่ ที่ประชุมใหญ่สมัชชาแห่งสหประชาชาติได้ทำการรับรองขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2553
อ้างอิง: CNA, INDIA TODAY, Health essentials, BBC, BLOOMBERG, JAPAN TODAY, THE AUSTRALIAN, Korea JoongAng Daily