'กยท.'เดินหน้าแผนชะลอขายยางรักษาระดับราคา
กยท. เดินหน้าโครงการชะลอขายยางเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง ผลักดันสถาบันเกษตรกร สู่ภาคธุรกิจ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน
นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบัน แม้ปริมาณผลผลิตยางในตลาดลดลง แต่การผลิตในอุตสาหกรรมยางยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ที่มียอดการผลิตสูงกว่าปีก่อนเกือบเท่าตัวในช่วงไตรมาสเดียวกัน
ในขณะที่กยท. ยังคงดำเนินมาตรการต่างๆ มาตลอด รวมถึงโครงการชะลอการขายยางของสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง เพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง ที่ดำเนินการชะลอยางก้อนถ้วยแห้ง (DRC 75%) ตั้งแต่ปี 2563 ในพื้นที่ภาคเหนือจนประสบผลสำเร็จ ทำให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการสามารถขายผลผลิตในราคาที่เป็นธรรมและได้ส่วนต่างของรายได้เพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 4.50 บาทต่อกิโลกรัม ดังนั้น ในปีนี้ กยท. จึงเดินหน้าดำเนินโครงการฯ ต่อเนื่องกระจายพื้นที่ในภาคอื่นๆ คาดว่าจะสามารถดึงยางเข้าโครงการได้กว่า 50,000 ตัน
ทั้งนี้ กยท. จะสนับสนุนเงินทุนเพิ่มสภาพคล่องให้กับสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง ในการบริหารจัดการผลผลิตของสมาชิก วงเงินสินเชื่อ 80% ของมูลค่ายาง โดยกำหนดราคากลางรับซื้อจากราคาเฉลี่ยของตลาดกลางยางพารา กยท. ย้อนหลัง 15 วัน และขายยางผ่านสำนักงานตลาดกลางยางพารา หรือตลาดเครือข่ายสำนักงานตลาดกลางยางพาราของ กยท. เท่านั้น
สำหรับสถาบันเกษตรการที่เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับการ ยกเว้นดอกเบี้ยใน 3 เดือนแรก โดยยางก้อนถ้วยแห้ง (DRC 75%) ที่รับซื้อจะจัดเก็บไว้ที่สถาบันเกษตรกรฯ ในสภาพดีไม่เสียคุณภาพ
ในปีนี้ สหกรณ์กองทุนสวนยางพารานาดีปราจีนบุรี จำกัด จะเป็นกลุ่มเกษตรกรต้นแบบในการดำเนินโครงการของพื้นที่เขตภาคกลางและภาคตะวันออก คาดว่าจะมีผลผลิตยางก้อนถ้วยแห้ง (DRC 75%) ของสมาชิกสหกรณ์เข้าโครงการประมาณ 200,000 กิโลกรัม
นอกจากนี้ กยท. จะนำร่องรับซื้อน้ำยางสด DRC 100% ในพื้นที่เขตภาคใต้ตอนกลางเข้าสู่โครงการชะลอการขายยางฯ ด้วย
“โครงการชะลอขายยาง ถือเป็นหนึ่งมาตรการที่ กยท. ดำเนินการเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง เป็นการสนับสนุนให้สถาบันเกษตรกรฯ ดำเนินธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น เน้นการรวมกลุ่มเพื่อสร้างอำนาจการต่อรองในตลาด เป็นไปตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อส่งเสริมสถาบันเกษตรกร ผู้ประกอบการ และ Start up ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง สร้างความมั่นคงทางรายได้ให้เกษตรกร”
สำหรับราคากลางวันที่ 1 ก.ค. 64 เปิดตลาดยางแผ่นดิบ อยู่ที่ 55.60 บาทต่อกก. ยางแผ่นรมควันอยู่ที่ 56.72 บาทต่อกก. ส่วนราคาประมูลเฉลี่ย ณ ตลาดกลางยางพาราฯ ราคายางแผ่นดิบอยู่ที่ 54.24 บาทต่อกก. ราคายางแผ่นรมควันอยู่ที่ 54.73 บาทต่อกก. ซึ่งราคายางในภาพรวมปรับตัวลดลงจากการที่ราคาตลาดล่วงหน้าปรับตัว ลดลงและการประกาศล็อคดาวน์ของประเทศต่างๆในภูมิภาค เอเชียประกอบกับการขาดแคลนตู้คอนเทรนเนอร์ขนส่งยางและ ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง รวมถึงต้นทุนค่าระวางเรือที่มี ราคาสูง
อย่างไรก็ตามราคายางได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการที่ ค่าเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐและทางตอนใต้ ของประเทศไทยมีฝนตกซึ่งไม่เอื้อต่อการกรีดยาง รวมถึง ปัญหาการขาดแคลนแรงงานกรีดยางเนื่องจากแรงงานไม่สามารถเดินทางข้ามประเทศได้ นักลงทุนยังคงต้องติดตาม เศรษฐกิจโลกต่อไป