เปิดรับข้อเสนอ 'ทุนพัฒนาอาชีพและนวัตกรรมชุมชนเป็นฐาน' สู้โควิด19
'กสศ.'เปิดรับข้อเสนอโครงการ 'ทุนพัฒนาอาชีพและนวัตกรรมชุมชนเป็นฐาน' รุ่น 3 นำร่องต้นแบบ ชุมชนเข้มแข็ง ใช้ความรู้สู้วิกฤตโควิด 19 ช่วยผู้ด้อยโอกาส-ครัวเรือนยากจนพิเศษ สร้างอาชีพ มีรายได้ พึ่งตัวเอง
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จัดประชุมออนไลน์ ประชุมเชิงปฏิบัติการเปิดรับข้อเสนอโครงการ ทุนพัฒนาอาชีพและนวัตกรรมที่ใช้ชุมชนเป็นฐานปี 2564 เพื่อชี้แจงวัตถุประสงค์ แนวทางการทำงานและประชาสัมพันธ์โครงการให้แก่องค์กรภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม หรือองค์กรที่สนใจ
- เปิดรับข้อเสนอโครงการ 'ทุนพัฒนาอาชีพและนวัตกรรมที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน'
น.ส.ธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมและทุนการศึกษา กสศ. กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 และปัญหาเศรษฐกิจส่งผลให้เกิดประชากรด้อยโอกาสว่างงานกลุ่มใหม่จำนวนมาก โครงการทุนพัฒนาอาชีพและนวัตกรรมที่ใช้ชุมชนเป็นฐานปี 2564 จึงถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์
ในฐานะต้นแบบการพัฒนาอาชีพและนวัตกรรมที่ใช้ ชุมชนเป็นฐาน ที่มุ่งค้นหาระบบนิเวศทางการศึกษาและแนวทางฝึกอาชีพ เพื่อเชื่อมโยงชุมชนและเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องไปพร้อมกันโดยกลุ่มเป้าหมายคือประชากรนอกรั้วโรงเรียนวัย 15 ปีขึ้นไป ซึ่งประเทศไทยมีแรงงานกลุ่มนี้ราว 20 ล้านคน หรือ70% ในจำนวนนี้คือแรงงาน นอกระบบที่ขาดทักษะ
ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมและทุนการศึกษา กสศ. กล่าวว่า ตลอดสองปีที่ผ่านมา มีโครงการที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วม194 โครงการ กว่า 182 หน่วย พัฒนาอาชีพ ครอบคลุมการทำงาน 50 จังหวัด ช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายที่ว่างงาน ยากจนและด้อยโอกาสไปแล้วปีละราว 1 หมื่นคนภายใต้งบประมาณที่จำกัด
ขณะนี้ กำลังเปิดรับข้อเสนอโครงการ จากหน่วยงานหรือองค์กรที่มีแนวคิดการ พัฒนาอาชีพ ที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถาบันการศึกษาทั้งรัฐและเอกชน องค์กรเอกชน ธุรกิจเพื่อสังคม องค์กรชุมชน มูลนิธิ องค์กรสาธารณะประโยชน์
- ช่วยเหลือ 'ผู้ด้อยโอกาส'ได้รับพัฒนา 4 ทักษะ
เน้นช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และผู้ด้อยโอกาสให้ได้รับการพัฒนา 4 ทักษะสำคัญ คือ 1.ทักษะอาชีพ 2.ทักษะศตวรรษที่ 21 3.การดูแลสุขภาพจิต และ 4.ทักษะการบริหารจัดการด้านการเงินและหนี้สิน รวมทั้งมีรูปแบบการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการมีงานทำ ยืนหยัดด้วยตัวเองในระยะยาว โดยจะสนับสนุนทุนโครงการละไม่เกิน 1 ล้านบาท ดำเนินงานในกรอบระยะเวลา 7 เดือน
“กสศ. ตั้งเป้าให้หน่วยงานที่เข้าร่วม มองถึงการช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายพิเศษ คือกลุ่มคนวัยทำงานที่มีบุตรหลานในระบบการศึกษาที่ไม่เกินระดับชั้น ม.3 เพื่อสนับสนุนให้มีอาชีพ มีรายได้ เพื่อส่งต่อผลสำเร็จไปยังครัวเรือน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนให้ได้เรียนต่อ ไม่หลุดจากระบบการศึกษา มีโอกาสได้เรียนต่อระดับชั้นที่สูงขึ้น” น.ส.ธันว์ธิดา กล่าว
โดยโครงการนี้มองผลปลายทางที่มากกว่าการ ฝึกอาชีพ หรือการผลิตสินค้า แต่จะนำไปสู่ชุมชนนำร่องที่ทำงานร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การ บริหารจัดการให้ผู้ด้อยโอกาสได้ประกอบอาชีพตามความถนัด พึ่งพาตนเองได้ มีอาชีพที่ยั่งยืน และนำพาชุมชนให้เกิดความเข้มแข็งยั่งยืน ผู้สนใจสามารถยื่นข้อเสนอโครงการได้ โดยเปิดรับ ผ่านระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์ www.EEF.or.th หรือ ทุนพัฒนาอาชีพ.com ตั้งแต่วันที่ 10 - 23 กรกฏาคม 2564 และจะประกาศผลโครงการที่ผ่านการพิจารณาภายในเดือน สิงหาคม 2564
ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ประธานอนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการ ฯ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคประชาสังคม กสศ. กล่าวว่า ข้อมูลจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และยูนิเซฟ พบว่าจะมีคนตกงานประมาณ 6 ล้านคน และมีเด็กจบการศึกษาใหม่ 1.3 ล้านคน ทั้งนี้เรากำลังแก้โจทย์สำคัญเรื่องความยากจน ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
- เร่งแก้ปัญหา 'เด็กยากจนพิเศษ'มีรายได้สู้โควิด 19
มีสาเหตุปัจจัย 3 เรื่อง คือ 1. การส่งต่อความยากจนจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง คนที่จบม.ต้น แทบไม่มีโอกาสพัฒนาตัวเอง ต้องอยู่กับความยากจน 2. ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนปีนี้จะยิ่งห่างมากกว่า 20 เท่า และ 3. การวัดประเมินผลแบบแพ้คัดออก ยิ่งคนด้อยโอกาสมาจากครอบครัวยากจนยิ่งขาดโอกาสทางการศึกษา
ดังนั้น การแก้โจทย์เราจะไม่ส่งต่อเรื่อง ความยากจน จากคนอีกรุ่นหนึ่งไปอีกรุ่นหนึ่งแต่เราจะสร้างมิติใหม่จะส่งต่อโอกาสความเสมอภาค กำหนดอนาคตของประเทศต่อไป ประเทศไทยจะต้องก้าวไปข้างหน้าโดยเชื่อมโยงกับองค์กรในท้องถิ่น ขยับเชิงนโยบายในแต่ละท้องถิ่น เป็นสังคมที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับความยากจนจากล่างขึ้นบน การทำต้นแบบองค์ความรู้ บูรณาการเชื่อมต่อกับนโยบาย ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของทุนในอนาคตข้างหน้า
น.ส.ณัฐชา ก๋องแก้ว นักวิชาการฝ่ายนวัตกรรมข้อมูลและเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(กสศ.) กล่าวว่า ข้อมูลจากระบบ isee ของ กสศ. พบว่า มี นักเรียนทุนเสมอภาค จำนวน 1.17 ล้านคน เด็กกลุ่มนี้มาจากครัวเรือนยากจนที่สุด 15% ล่างของประเทศ เมื่อมีวิกฤติโควิด -19 มีรายได้ราว 1,021 บาทต่อคนต่อเดือน หรือราว 34 บาทต่อวัน เท่านั้น
จึงเป็นที่มาของการนำแนวคิดในการช่วยเหลือครอบครัวของนักเรียนทุนเสมอภาค ที่จำนวนมากต้องประสบปัญหาถูกเลิกจ้าง ว่างงาน และกลับภูมิลำเนามากขึ้น มาใช้ในการทำงานของโครงการ ฯ ในปี 2564 นี้ เพื่อเป็นต้นแบบการช่วยเหลือเปลี่ยนแปลงสมาชิกครอบครัวของนักเรียนทุนเสมอภาค ให้มีทักษะอาชีพและสามารถมีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัวได้ ซึ่งหมายถึงโอกาสในการศึกษาอย่างต่อเนื่องของเด็กและเยาวชนที่ยังอยู่ต่อไป