‘ทีเอชเอ’ วอนรัฐเร่งเยียวยาโรงแรม! ระดมฉีดวัคซีนหวังไฮซีซั่นกระเตื้อง
หลังจากรัฐบาลออกมาตรการ “ล็อกดาวน์” เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภายในประเทศที่ยอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวันพุ่งสูงจนน่ากังวล! โดยเฉพาะในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จังหวัด ฉุดบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวต้องหยุดชะงักลงอีกครั้ง
แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อภาคท่องเที่ยวและบริการ โดยเฉพาะธุรกิจ “โรงแรม”
มาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) กล่าวว่า สมาคมฯต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือและเยียวยาอย่างเร่งด่วน 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.การชดเชยค่าจ้างให้กับพนักงาน เพื่อรักษาการจ้างงานเอาไว้ 2.ลดต้นทุนคงที่ โดยเฉพาะค่าไฟฟ้า 15% รวมถึงให้โรงแรมสามารถผ่อนชำระค่าไฟได้จนถึงสิ้นปี 2564 และ 3.เร่งฉีดวัคซีนให้แก่บุคลากรภาคการท่องเที่ยว โฟกัสที่จังหวัดเสี่ยงสูงและจังหวัดท่องเที่ยวก่อน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่แก่ประชาชนในจังหวัดเหล่านั้น ให้ภาคธุรกิจกลับมาเปิดบริการได้อีกครั้ง ส่งผลดีต่อการจ้างงาน และกำลังซื้อของแรงงานที่เป็นผลพลอยได้ตามมา
“หากสามารถฉีดวัคซีนจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนในประเทศ และนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น โดยข้อเสนอเหล่านี้ถือเป็นข้อเรียกร้องให้ช่วยเหลือผู้ประกอบการในรูปแบบเดิม เราพูดเรื่องเดิมมากว่า 1 ปีครึ่งแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการตอบรับ และทุกครั้งที่มีการระบาดซ้ำของโควิด-19 หรือรัฐบาลออกมาตรการควบคุมโรคอย่างเข้มข้นอีก ก็จะขอเสนอให้ช่วยเรื่องเดิมๆ ที่พูดซ้ำจนเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง!”
สำหรับสถานการณ์ของธุรกิจโรงแรมขณะนี้ ไม่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการ รายได้จากนักท่องเที่ยวในประเทศหายไป และเมื่อรัฐมีคำสั่งยกระดับมาตรการควบคุมเข้มขึ้น ส่งผลให้การฟื้นตัวของตลาดเดินทางท่องเที่ยวในประเทศต้องถูกยืดเวลาออกไปอีก! ขณะที่ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยได้แบบปกติ เพราะยังติดข้อจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ
แต่โจทย์ของธุรกิจโรงแรมคือต้อง “รักษาการจ้างงาน” เอาไว้ เพราะถือเป็นแรงงานที่ต้องใช้ทักษะ กว่าจะฝึกฝนคนใหม่ๆ ให้มีทักษะเทียบเท่าแรงงานปัจจุบันต้องใช้เวลา ทว่าวิกฤติโควิด-19 ทำให้ธุรกิจโรงแรม “ขาดสภาพคล่อง” มานาน จึงไม่สามารถรักษาพนักงานเอาไว้ได้ อยากให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน!
ด้านภาพรวมธุรกิจโรงแรมในไทย สมาคมฯประเมินว่าขณะนี้น่าจะเปิดให้บริการอยู่ราว 50% และปิดกิจการ 50% โดยเฉพาะโรงแรมในเมืองท่องเที่ยวหลักที่คาดว่าจะปิดกิจการมากกว่า 50% ด้วยซ้ำ ส่วนเป็นการปิดกิจการชั่วคราวหรือถาวร ยังค่อนข้างแยกลำบาก โดยประเมินว่าโรงแรมที่มีการปิดกิจการถาวรมากที่สุด น่าจะอยู่ในภาคใต้ โดยเฉพาะโรงแรมขนาดกลางและขนาดเล็ก เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่พึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงที่สุด
“ต้องยอมรับว่าสายป่านของธุรกิจโรงแรมขนาดกลางกำลังจะขาดแล้วในตอนนี้ หลายรายไปต่อกันไม่ไหว เพราะพึ่งพาฐานนักท่องเที่ยวต่างชาติสูง ต้องใช้เวลากว่า 2 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2565-2566 ถึงจะทยอยฟื้นตัวกลับมา สมาคมฯจึงอยากให้รัฐบาลประกาศความช่วยเหลือออกมาโดยเฉพาะ โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 อยากให้มีการพักชำระเงินต้นและหยุดคิดดอกเบี้ย หรือหากทำได้เร็วเท่าไรยิ่งดี เพื่อไม่ให้ธุรกิจโรงแรมปิดตัวไปมากกว่านี้ ควบคู่กับการหาแหล่งเงินทุนให้กู้ในระยะยาว คิดอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำไว้รองรับ หนุนให้ธุรกิจโรงแรมที่จะกลับมาเปิดบริการอีกครั้ง ได้เข้าถึงเงินทุนนำมาปรับปรุงกิจการเพิ่มเติม”
ด้านโครงการ “โกดังพักหนี้” ที่มีอยู่ พบว่าผู้ประกอบการโรงแรมยังเข้าร่วมน้อย เนื่องจากบางสถาบันการเงินหรือธนาคารพาณิชย์ มีการตั้งเงื่อนไขที่แตกต่างกัน อาทิ เริ่มต้นที่ลูกหนี้ชั้นดีเท่านั้น ประเมินจากมูลค่าหนี้ในระดับต่ำก่อน เมื่อนโยบายไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้ยากในการเข้าถึง ส่วนธุรกิจเอสเอ็มอี ขอเสนอให้มีการหาแหล่งเงินทุนแบบตั้งเงื่อนไขการกู้ผ่านการค้ำประกันไขว้ระหว่างธุรกิจกันเอง โดยเบื้องต้นมูลค่าของเงินกู้ที่ต้องการไม่มากนัก
“วัคซีนคือคำตอบเดียวเท่านั้นที่จะช่วยกระตุ้นให้ภาพรวมการเดินทางท่องเที่ยวฟื้นตัว หากวัคซีนยังล่าช้าและระดมฉีดได้น้อย การฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยวก็ต้องยืดเวลาออกไปอีก อย่างไรก็ตามสมาคมฯยังคาดหวังว่าจะเห็นการฟื้นตัวได้ในไตรมาส 4/2564 ซึ่งเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหรือไฮซีซั่น” นายกทีเอชเอกล่าว