แถลงด่วน! 'สภากาชาดไทย'แจงจัดซื้อ'โมเดอร์นา'ฉีดให้4กลุ่ม
แถลงด่วน! เลขาฯสภากาชาดไทย แจง 4 กลุ่มเป้าหมายฉีดวัคซีน โมเดอร์นา 1 ล้านโดส คาดเข้ามาไตรมาส4ปี64-ไตรมาส1ปี65
เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 ที่ อาคารเทิดพระเกียรติ สภากาชาดไทย นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย แถลงข่าวด่วนประเด็นการได้รับจัดสรรวัคซีนโมเดอร์นา ชนิด mRNA และแผนการกระจายวัคซีนให้ประชาชน ว่า ตามที่ได้มีกระแสข่าว เรื่อง สภากาชาดไทยจัดซื้อวัคซีนโมเดอร์นา จำนวน 1 ล้านโดส โดยจะดำเนินการฉีดให้ฟรีให้กับประชาชนนั้น สภากาชาดไทย ขอเรียนขี้แจงว่า สภากาชาดไทยได้รับการประสานจากองค์การเภสัชกรรม(อภ.) ว่า ได้สำรองวัคซีนโมเดอร์นา 1 ล้านโดส ให้แก่สภากาชาดไทย ซึ่งต่อมาสภากาชาดไทยได้มีหนังสือยืนยันการจัดซื้อวัคซีนโมเดอร์นาภายใต้เงื่อนไขที่ อภ. กำหนด
คาดว่าสภากาชาดไทยจะได้รับวัคซีนโมเดอร์นา ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 และต้นปี 2565 โดยสภากาชาดไทยมีแผนการที่จะนำวัคซีนโมเดอร์นา ไปฉีดให้แก่ประชาชนในกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ 1.บุคลากรทางการแพทย์ 2.กลุ่มประชาชนผู้ด้อยโอกาส คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง 3.สตรีมีครรภ์ และ 4.ผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนโควิด-19 โดยส่วนหนึ่งสภากาชาดไทยจะเป็นผู้ดำเนินการฉีดเอง อีกส่วนหนึ่งส่งต่อให้โรงพยาบาลภาครัฐที่ต้องการฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์ และที่เหลือส่งต่อให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งจะต้องดำเนินการฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายที่สภากาชาดไทยกำหนด รวมทั้งต้องจัดทำแผนการฉีดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ลงนามรับรองมายังสภากาชาดไทย จึงจะจัดสรรวัคซีนโมเดอร์นาให้ ทั้งนี้ หน่วยงานที่รับวัคซีนโมเดอร์นา ตามที่สภากาชาดไทยจัดสรร ต้องนำวัคซีนไปฉีดโดยไม่คิดมูลค่า และห้ามจำหน่ายต่อ ทั้งนี้ ขอเชิญชวนบริจาคให้แก่ "กองทุนกาชาด เพื่อการจัดซื้อวัคซีน และยาโควิด-19 สำหรับประชาชน”
“ในประเทศไทยมีผู้ด้อยโอกาสประมาณ 11 ล้านคนใน 77 จังหวัด ต้องขอความเห็นใจว่าสภากาชาดฯ ไม่ได้เป็นรัฐ เป็นเพียงองค์การกุศลหนึ่งที่ต้องการช่วยเหลือประชาชน เท่าที่เรามีขีดความสามารถ และงบประมาณของเรามีจำกัด เราจะต้องพยายามหางบประมาณมาช่วยเท่าที่จะทำได้” นายเตช กล่าว
เมื่อถามถึงการประสานงานของสภากาดชาดฯ เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ นายเตช กล่าวว่า ตั้งแต่เริ่มต้นที่จะมีวิกฤตระลอกที่ 3 สภากากชาดฯ ได้มอบหมายให้หาวัคซีนทางเลือก ซึ่งมีหลายสาย ปรากฎว่า ทางบริษัทผู้ผลิตวัคซีนจะดำเนินการเจรจากับรัฐบาลหรือองค์การที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลเท่านั้น และต้องเป็นองค์การเดียว ซึ่งบริษัทที่ก้าวหน้าที่สุดขณะนั้น คือ บริษัทซิลลิค ฟาร์ม่า ที่เป็นตัวแทนในประเทศไทยของบริษัทโมเดอร์นา
“การเจรจาวัคซีนที่ต้องผ่านองค์การของรัฐเท่านั้น เพราะมีนัยยะทางกฎหมาย ว่าใครจะรับผิดชอบ เพราะยังเป็นบัญชียาในภาวะฉุกเฉิน หากมีการล้มป่วย ไม่สบายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบทางกฎหมาย เขาจึงให้องค์การเภสัชกรรมดำเนินสั่งเข้ามา แต่ที่จริงแล้ว สายหนึ่งที่ของสภากาชาดฯ ก็ได้ติดต่อและจองกับบริษัทซิลลิค มาตั้งแต่ต้น แม้ว่าตอนนั้นโมเดอร์นายังไม่ได้รับทะเบียนจาก อย.ไทย แต่ก็ขอจองไว้ประมาณ 1 ล้านโดส ซึ่ง อภ. ก็รับทราบว่าเราเจรจาไว้ก่อนแล้ว และเมื่อ อภ.สามารถเจรจากับบริษัทซิลลิค ได้ 5 ล้านโดส อภ. ก็เลยกัน 1 ล้านโดสให้สภากาชาดไทย” นายเตช กล่าวและว่า เราไม่ได้ไปแย่งจากใครมาทั้งสิ้น
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงขั้นตอนการจองวัคซีนโมเดอร์นาจากสภากาชาดฯ ของแต่ละหน่วยงาน รวมถึงเรื่องค่าใช้จ่าย นายเตช กล่าวว่า สภากากชาดฯ ได้ส่งหนังสือถึงผู้ว่าราชการฯ ทุกจังหวัด เพื่อให้บริจาคมาที่กองทุนกาชาด เพื่อการจัดซื้อวัคซีน และยาโควิด-19 สำหรับประชาชน เชิญชวนให้บริจาคก่อน โดยจะมีกฎเกณฑ์ว่าจะนำไปฉีดให้ใคร และต้องฉีดโดยไม่คิดเงิน
“เราไม่ได้มีการกำหนดราคาที่แน่นอน เคยดูไว้ที่ 1,200 บาทต่อโดส หรือ 1,100 บาท ซึ่งยังไม่แน่นอน แต่คาดว่า 1-2 สัปดาห์นี้จะทราบตัวเลขที่แน่นอน” นายเตช กล่าว
เมื่อถามว่า หาก รพ.เอกชนมาขอบริจาคเพื่อรับการจัดสรรวัคซีนโมเดอร์นาจากสภากาชาดฯ ได้หรือไม่ และองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) จะต้องดำเนินการอย่างไร ได้สัดส่วนเท่าไหร่ นายเตช กล่าวว่า เราก็จะพิจารณากันต่อไป ซึ่งในวันนี้ก็จะมีการหารือกันในช่วง 13.30 น. รวมถึงเรื่องการจัดสรรวัคซีนให้อปท. เราจะขอว่าให้ฉีดกลุ่มเป้าหมาย 5 กลุ่ม 1.คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง หญิงตั้งครรภ์ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนโควิดมาก่อน 2.ผู้อายุ 70 ปีขึ้นไปยังไม่เคยได้รับวัคซีนโควิดมาก่อน 3.บุคลากรแพทย์ พยาบาลในถิ่นทุรกันดาร 4.ผู้ทำงานประจำในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ครูผู้สอนในโรงเรียนอนุบาลหรือครู อาจารย์ที่สอนในโรงเรียน และยังไม่เคยได้รับวัคซีนโควิด และ 5.บุคลากรที่ต้องปฏิบัติงานสัมผัสประชาชนตามโครงการของอปท.จังหวัด ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน และบุคคลที่ยังไม่สามารถได้รับวัคซีนโควิดได้ เนื่องจากติดขัดระเบียบและกฎหมาย และองค์การบริหารส่วนจังหวัด ต้องทำแผนเสนอการขอรับจัดสรรวัคซีน โดยต้องรับความเห็นชอบจากผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด