นักเศรษฐศาสตร์แนะ ‘ปฏิรูปใหญ่’ ระดับโครงสร้าง รับมือ ‘วิกฤติโควิด’
บรรดานักเศรษฐศาสตร์ “จุฬา” ชี้ ขณะนี้ “วิกฤติโควิด” ระเบิดแล้ว และอาจสร้าง “แผลเป็น” ให้เศรษฐกิจไทยในระยะยาว แนะรัฐ “ปฏิรูปใหญ่” ระดับโครงสร้างเชิงสถาบันเพื่อเรียกความเชื่อมั่น
เมื่อไม่นานนี้ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงานเสวนาออนไลน์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 51 ปีการสถาปนาคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ในหัวข้อ “24 ปี จากวิกฤติต้มยำกุ้ง สู่วิกฤติโควิด (2540-2564)” โดยศิษย์เก่าผู้ทรงคุณวุฒิ มองว่า วิกฤติโรคระบาดรอบนี้สร้างแผลเป็นร้าวลึกให้ระบบเศรษฐกิจไทย ขาดการจัดการและความร่วมมือทั้ง ๆ ที่มีทรัพยากรทำได้ แนะรัฐต้องปฏิรูปโครงสร้างเชิงสถาบันเรียกความเชื่อมั่น
ระเบิดเวลาระเบิดขึ้นแล้ว เกิดแผลเป็นเศรษฐกิจระยะยาว
รศ.ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า วิกฤติโรคระบาดโควิด-19 มีความรุนแรงเป็นวงกว้างยิ่งกว่าสมัยวิกฤติต้มยำกุ้งอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากผู้ที่ได้รับผลกระทบหนักคือผู้มีรายได้น้อยที่มีความเปราะบางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เปรียบเสมือนคนอ่อนแอเมื่อติดเชื้อก็จะทรุดหนักและใช้เวลาฟื้นนาน
“ภายใต้สถานการณ์ความไม่แน่นอนสูงเช่นนี้ คนทำนโยบายต้องไม่เพิ่มความไม่แน่นอนเข้าไปอีก โดยเฉพาะเรื่องการสื่อสาร ขณะนี้ต้องไม่ใช้เวลายาวนานเกินไปในการเลือกนโยบายที่สุด ที่อาจกีดกันคนที่มาเอาเปรียบจากนโยบายได้ แต่กลายเป็นสายเกินไปสำหรับคนที่ต้องการความช่วยเหลือ”
รศ.ดร.สมประวิณ เสริมว่า หลักพื้นฐานสำคัญของเศรษฐศาสตร์คือ ให้ประชาชนเห็นทางเลือก แม้จะไม่สามารถทำนโยบายที่ช่วยทุกคนได้ แต่อย่างน้อยควรแจ้งให้ทราบว่า รัฐบาลมีเครื่องมืออะไรบ้างอยู่ในมือ ใช้ได้เมื่อไหร่ และความคาดหวังของการใช้เครื่องมือแต่ละอย่างคืออะไร เวลานี้คนทำตัวไม่ถูก เลือดยังไม่หยุดไหลคือเงินยังไหลออกจากกระเป๋า ในขณะที่กระแสเงินสดขาเข้าหายไป การมีหลักประกันทางสังคม (Social Safety Net) มีความสำคัญมาก เป็นเครื่องป้องกันไม่ให้คนตกหลุมลึก และควรมองไปถึงการสร้างพื้นที่ให้คนมีโอกาสดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อีกครั้งหลังโควิด
“การสร้างภาวะเศรษฐกิจที่ดีคือภาวะที่ไม่สร้างเงื่อนไขให้กับคนในการเลือกใช้ชีวิต อาจไม่จำเป็นต้องรวยล้นฟ้า แต่มีทางเลือกพอที่จะทำอะไรในชีวิตให้ดีขึ้น ไทยเรามีระเบิดเวลามานานมากกว่า 30 ปีแล้วคือปัญหาเชิงโครงสร้าง และวันนี้มันได้ระเบิดขึ้นแล้ว กลายเป็นแผลเป็นในระบบเศรษฐกิจที่จะอยู่ไปอีกยาวนานแม้โควิด-19 จบไป”
มีทรัพยากรแต่ขาดการจัดการ
ขณะที่ ดร.กฤษฎ์เลิศ สัมพันธารักษ์ Professor of Economics, School of Global Policy and Strategy, University of California San Diego มองว่า ประเทศไทยยังคงมีทรัพยากรที่นำมากู้วิกฤติได้แต่ขาดการจัดการที่ดี
“ความท้าทายอย่างหนึ่งคือเศรษฐกิจไทยมีแรงงานนอกระบบ (Informal Sector) ที่ใหญ่มาก เราไม่ทราบว่าคนที่ลำบากอยู่ตรงไหนกันบ้าง แต่ก็เป็นโอกาสให้นำคนเหล่านี้เข้าระบบ เพื่อวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น”
ดร.กฤษฎ์เลิศ ชี้ว่า การจัดการที่ดียังรวมไปถึงความร่วมมือกัน (Policy Coordination) ภาครัฐมีสถานะทางการเงินการคลังแข็งแกร่ง ภาคเอกชนภาคประชาสังคมมีทั้งไอเดีย ทุน ความมุ่งมั่นตั้งใจเต็มเปี่ยมที่อยากยื่นมือช่วย แต่ติดเรื่องระเบียบภาครัฐทำให้เข้ามาไม่ได้
“ย้อนไปสมัยวิกฤติต้มยำกุ้ง เราถูกกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เข้ามาควบคุมอย่างเข้มงวด มองในแง่ดีคือเกิดการดำเนินนโยบายไปในทิศทางเดียวกัน เพราะทุกคนต้องทำตามเงื่อนไข แต่ตอนนี้เราไม่เห็นเลย ยิ่งเจอวิกฤติเศรษฐกิจซ้อนวิกฤติสาธารณสุข ยิ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกัน มิเช่นนั้น ความเหลื่อมล้ำทั้งทางเศรษฐกิจและการศึกษาจะยิ่งถ่างออกไป หรือที่เรียกว่า K-shape Recovery”
ดร.กฤษฎ์เลิศ เสริมว่า คนจะกลับไปดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจพร้อมแบกภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น มิติการเติบโตทางเศรษฐกิจหลังจากนี้ไม่ใช่การโตด้วยตัวเลข แต่ต้องมี 3 ด้าน คือ โตอย่างมีประสิทธิภาพ (Productivity & Efficiency) ล้มแล้วลุกให้เร็ว (Resiliency) และโตแบบไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (Inclusivity)
ทุกวิกฤติทำให้เกิดการปฏิรูป
ผศ.ดร.พงศ์ศักดิ์ เหลืองอร่าม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจำเป็นต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ในยามวิกฤติตั้งแต่สมัยสงครามโลกหรือต้มยำกุ้งก็ตาม เกิดการปฏิรูปสถาบันทางกฎหมายและเศรษฐกิจอย่างมโหฬาร รัฐบาลต้องออกกฎหมายฉุกเฉินเพราะกฎหมายในยามปกติใช้ช่วยเหลือคนหมู่มากในคราวเดียวไม่ได้
“ในสมัยต้มยำกุ้ง ธุรกิจล้มละลายจำนวนมาก ทางออกเดียวของกฎหมายในขณะนั้นคือยึดทรัพย์แล้วขายทอดตลาด ยิ่งทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ถูกเทกระจาด จากคนที่ยังไม่ล้มก็ล้มไปด้วย จึงกลายเป็นที่มาของแนวคิดปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อช่วยเหลือคนก่อนที่จะล้มละลายและกระทบกันเป็นโดมิโน นำไปสู่ความเข้มแข็งของสถาบันการเงินไทยในปัจจุบัน”
ผศ.ดร.พงศ์ศักดิ์ ระบุว่า การพาประเทศให้มีอัตราการเติบโตที่มากกว่านี้ ไม่ใช่แค่เรื่องทุนมนุษย์หรือทุนเทคโนโลยี มีงานวิจัยระดับโลกชี้ว่ารากฐานของเศรษฐกิจที่ดีคือสถาบันที่แข็งแกร่ง จากเหตุการณ์ของไทยครั้งนี้เป็นไปได้ที่จะนำไปสู่การปฏิรูปสถาบัน (Institutional Reform) โดยเฉพาะสถาบันทางการเมือง ในอดีตการปฏิรูปเกิดจากข้างบนลงมา (Top Down) เช่น กระแสโลกเปลี่ยนไป ผู้บริหารประเทศกลัวจะตามไม่ทันก็ปฏิรูปบ้านเมือง
“ตอนนี้ปัญหาคือภาคเอกชนเก่งมากแต่ภาครัฐอ่อนแอ คนเก่งในภาครัฐยังมีอยู่และอยากสร้างการเปลี่ยนแปลงแต่พลังไม่พอวิกฤติครั้งนี้ยิ่งชี้ชัดว่าการจัดการทางเศรษฐกิจอยู่ในมือของภาคการเมือง ประชาชนกำลังอัดอั้นตันใจ คลางแคลงใจในความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของรัฐบาล”
ผศ.ดร.พงศ์ศักดิ์ ชี้ว่า เมื่อใดก็ตามที่เกิดการเปลี่ยนผ่านจากข้างล่างขึ้นมา (Bottom Up) ย่อมไม่ราบรื่น อาจเกิดการปะทะกันได้ ความกังวลที่สุดคือแม้จะจบโควิดแล้วแต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังคงอยู่
“ช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง แบงก์ชาติเคยเป็นสถาบันที่หมดความน่าเชื่อถือโดยสิ้นเชิง ถึงขั้นที่ว่า เรียกแท็กซี่ไปแบงก์ชาติ แท็กซี่ไม่ไป เพราะมองว่าเป็นผู้ร้ายทำลายเศรษฐกิจพังพินาศ แบงก์ชาติจึงต้องปฏิรูปตนเองมโหฬาร สร้างความชอบธรรมกลับมาใหม่ด้วยการทำงานอย่างโปร่งใส เปิดเผยข้อมูลให้สาธารณชนเข้าถึงได้ จนปัจจุบันได้รับการจัดอันดับความโปร่งใสติดอันดับท็อปของเอเชีย ในวิกฤติโควิด-19 นี้ การแสดงออกซึ่งความรับผิดชอบ (Accountability) ของรัฐบาลกำลังตกต่ำอย่างมาก หากจะเรียกกลับคืนมาได้ต้องมีการเปิดเผยข้อมูลที่ดี ให้ผู้จัดการทางเศรษฐกิจมีความน่าเชื่อถือ พอจะเปลี่ยนแปลง คนก็ร่วมด้วย ยิ่งเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น”