NSL วางงานลงทุน 350 ล้านบาท เพิ่มกำลังการผลิตสินค้า Ready-to-eat

NSL วางงานลงทุน 350 ล้านบาท เพิ่มกำลังการผลิตสินค้า Ready-to-eat

NSL กางแผนครึ่งหลังปี 64 ผนึกพันธมิตร CPALL เจาะตลาดเดลิเวอรี่-ขยายตลาดต่างประเทศ พร้อมทุ่มงบ 350 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ Ready-to-eat หนุนเติบโตตามเป้า

นายสมชาย อัศวปิยานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ และนายอัครเดช เลี่ยมเจริญ ผู้อำนวยการด้านบัญชีและการเงิน บริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ NSL ร่วมบรรยายและนำเสนอข้อมูลผลประกอบการไตรมาส 2/2564 และผลประกอบการรวมครึ่งปีแรก บนแพลตฟอร์มออนไลน์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยผลประกอบการครึ่งปีแรกสิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 98.9 เปอร์เซ็นต์ รายได้รวมแตะ 1,563 บาท

สำหรับทิศทางธุรกิจและกลยุทธ์ในครึ่งปีหลังที่บริษัทฯ ได้มีการวางแผนและปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับภาวะทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ตามกลยุทธ์ Nutrition Sustainable for Life ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

การเติบโตอย่างมั่นคงไปพร้อมกับพาร์ทเนอร์เซเว่น อีเลฟเว่น (CPALL) โดยเฉพาะในส่วนของบริการจัดส่งถึงที่หรือเดลิเวอรี่ ซึ่งได้แรงหนุนจากเวิร์คฟอร์มโฮมในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยจะมีการออกแคมเปญโปรโมชั่นมากขึ้น ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มคนวัยทำงานส่วนใหญ่ พร้อมทั้งพัฒนาสินค้าเอกซ์คลูซีฟให้ลูกค้าได้พรีออเดอร์

เพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มคัดสรร (Kudsan) ที่จะวางขายสินค้าประเภทเบเกอรี่ซึ่งทางบริษัทฯ มีความถนัดและเชี่ยวชาญในการพัฒนาคุณภาพและรสชาติที่ถูกปากผู้บริโภค

ร่วมกับคู่ค้าขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน NSL มีศักยภาพที่จะขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยจะเริ่มจากประเทศกัมพูชา ด้วยการส่งออกสินค้าขายดีอย่างแซนวิชอบร้อนและสินค้าเบเกอรี่ จัดจำหน่ายในสาขาร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่นในกัมพูชา

เพิ่มกำลังการผลิตในกลุ่มสินค้าขายดี บริษัทฯ พร้อมขยายกำลังการผลิตในกลุ่มสินค้าที่ประเมินว่าจะมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมากในอนาคต เช่น กลุ่มครัวซองค์

นายสมชาย อัศวปิยานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) ให้ความมั่นใจกับนักลงทุนในเรื่องของแผนการลงทุนในอนาคตจะเป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทฯ ได้วางไว้ ในเรื่องของการขยายสายการผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์ Ready-to-eat ซึ่งงบประมาณการลงทุนประมาณ 350 ล้านบาท โดย 240 ล้านสำหรับก่อสร้างอาคารและ 110 ล้านบาทสำหรับลงทุนเครื่องจักร โดยจะเริ่มจากก่อสร้างอาคารภายในครึ่งหลังของปี 2565 ตามมาด้วยลงทุนเครื่องจักรและเริ่มผลิตภายในครึ่งหลังของปี 2566