กมธ.ป.ป.ช. จ่อสอบปม"เนตร นาคสุข" หลังถูกสอบวินัยร้ายแรง จี้อสส.เบรกลาออก
กมธ.ป.ป.ช. ตั้งเรื่องสอบหลัง"เนตร นาคสุข" ถูกตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง จ่ออสส.ให้ข้อมูล พร้อมจี้เบรกหนังสือลาออก หวั่นลดทอนความชอบธรรม
ที่รัฐสภา นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ประชุมคณะกรรมการอัยการ หรือ ( ก.อ.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงนายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด ที่ขาดความรอบคอบ ประมาทเลินเล่อ อย่างค่อนข้างร้ายแรง ในกรณีไม่สั่งฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยาหรือบอส
ซึ่งหลังจากนี้จะต้องตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงต่อไป โดยวินัยร้ายแรงมีโทษทางข้าราชการ โทษสูงสุดคือการไล่ออก หากผู้เสียหายไม่พอใจ ไม่เห็นด้วย สามารถฟ้องต่อศาลปกครองได้
โดยธีรัจชัย กล่าวว่า เป็นเรื่องที่สมควรกระทำโดยส่วนตัวยังติดใจถ้อยแถลงในถ้อยคำที่ว่า “อย่างค่อนข้างร้ายแรง “ ตรงนี้อาจจะเป็นถ้อยคำที่เบาไปหรือไม่ ซึ่งในการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงโทษสูงสุดคือการไล่ออก และที่ผ่านมานายเนตร นาคสุข ได้เคยยื่นหนังสือเพื่อขอลาออกจากราชการมาแล้ว 1 ครั้ง และครั้งนี้ก็ได้ยื่นเข้ามาใหม่อีก 1 ครั้งรวมเป็น 2 ครั้ง แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัตินั้น
ส่วนตัวต้องฝากไปยังอัยการสูงสุดช่วยพิจารณาหนังสือลาออกของนายเนตรอย่างถ่องแท้ โดยการจะอนุญาตให้ลาออกก่อนการพิจารณาสอบวินัยร้ายแรงนั้นสมควรหรือไม่ ซึ่งจะทำให้ประชาชนรู้สึกถึงไม่สบายใจถึงความเชื่อมั่นของสำนักงานอัยการสูงสุดในความเที่ยงธรรมตรงไปตรงมาหรือไม่
ขณะเดียวกันหากหนังสือลาออกของนายเนตรเป็นผล ส่วนตัวมองว่าการการสอบคนที่ลาออกความชอบธรรมจะลดลง โดยมองว่าการสอบต้องการไปให้สุดทาง ซึ่งตนไม่มีหน้าที่ในการชี้ผิด ชี้ถูก แต่ต้องการสอบให้สุดทาง ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นที่สะเทือนใจต่อประชาชนเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นองค์กรต้นเรื่องในการดูแลบุคลากรและฝ่ายบุคคลของสำนักงานอัยการสูงสุด มุมแรกคือต้องเน้นเรื่องการสอบวินัย และอีกหนึ่งมุมคือการดำเนินคดีอาญาในเรื่องการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และการแสดงความเห็นเพื่อดำเนินคดีทางอาญาหรือไม่ ซึ่งส่วนนี้ยังไม่เห็นมีการพูดถึงจากสำนักงานเอกการสูงสุดเลย
นายธีรัจชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ที่คณะกรรมการสอบสวนวินัยชุดของนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ ได้มีความเห็นว่านายเนตรผิดวินัยไม่ร้ายแรง ในวันนั้นตนรู้สึกไม่สบายใจแต่พอวันนี้เปลี่ยนเป็นการสอบวินัยร้ายแรง ก็ถือเป็นมาตรฐานที่สูงขึ้น แต่ในเรื่องของคดีอาญาได้ดำเนินการแล้วหรือไม่ และกรณีของอดีตอัยการสูงสุดที่ได้ลาออกจากราชการ ในขณะการสอบสวนนายเนตรก่อนหน้านี้ จำเป็นที่จะต้องตรวจสอบความเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ ว่าเหตุใดจึงปล่อยให้ลาออกในช่วงเวลานั้น จึงเป็นข้อกังขาที่ตนจำเป็นจะต้องตั้งประเด็นไว้ ว่าคณะกรรมการได้ทำอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่
“คณะกรรมาธิการ ป.ป.ช.ได้ตั้งเรื่องรอไว้ขณะนี้เพื่อรอผลการพิจารณาต่างๆ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องเชิญฝ่ายอัยการสูงสุด ในส่วนประธานกรรมการอัยการ และคณะกรรมการสอบสวนวินัย เข้าชี้แจงเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงว่าที่ผ่านมาท่านได้กระทำอย่างไรเด็กกรณีดังกล่าวเพื่อให้เกิดความตรงไปตรงมา ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูกจริงๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสำนักงานอัยการสูงสุดซึ่งเป็นกระบวนการยุติธรรมต้นน้ำจริงๆ “ ธีรัจชัย กล่าว
ทั้งนี้ นายธีรัจชัย ยังกล่าวถึงกรณีการเปลี่ยนแปลงความเร็วรถจากเดิมที่เกินกว่ากฎหมายกำหนด มาเป็นต่ำกว่ากฎหมายกำหนด ที่มีหลายฝ่ายมองว่าจะช่วยให้หลุดจากความผิดทั้งยวง และต่อมาทางกรรมาธิการ ป.ป.ช.ได้ติดตามมาโดยตลอดมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนในส่วนของตำรวจมาแล้ว ทางอัยการก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าอัยการท่านใดที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเปลี่ยนแปลงความเร็ว ท่านควรที่จะเปิดเผยให้ประชาชนได้ทราบว่าเป็นบุคคลใดเรื่องทางสำนักงานอัยการสูงสุดควรที่จะเปิดเผยและทำให้โปร่งใสได้แล้ว