‘สมชัย’ ชี้ ประยุทธ์ ครอบงำ พปชร.เขี่ย "ธรรมนัส" โทษยุบพรรค-จำคุก
‘สมชัย ศรีสุทธิยากร ’ อดีต กกต. ชี้ ประยุทธ์ เรียกผู้บริหาร พปชร.เข้าพบ บีบธรรมนัส ส่อครอบงำพรรค โทษยุบพรรค-จำคุก
จากกรณีกระแสข่าว 6 แกนนำพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา เพื่อหารือถึงการลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค เปิดทางให้ปรับโครงการพรรคใหม่ บีบ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พ้นจากเลขาธิการพรรคนั้น
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการเมืองและการพัฒนา มหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แสดงความเห็นเรื่องนี้ว่า พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 ห้ามทั้งพรรค ไม่ให้คนนอกมาครอบงำ (มาตรา 28) และ ห้ามคนนอกมาครอบงำพรรค (มาตรา 29) โดยในกรณีแรกโทษถึงยุบพรรค กรณีที่สองโทษ จำคุก 5-10 ปี ปรับ หนึ่งแสนถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
นายสมชัย ระบุ จากการที่มีสื่อหลายสื่อลงข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ เรียกรัฐมนตรีที่เป็นกรรมการบริหารพรรคมาพบที่ทำเนียบ และบ้านพัก ขอให้มีการปรับกรรมการบริหารใหม่ ด้วยวิธีการลาออกเกินกว่ากึ่งหนึ่งเพื่อล้างบางกลุ่มธรรมนัส หากข่าวดังกล่าวเป็นจริง ถือว่าเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 29 และหาก กรรมการบริหารมีการลาออกเกินกว่ากึ่งหนึ่งตามมา ถือว่าเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 28
นายสมชัย เห็นว่า กระบวนการที่ควรดำเนินการ คือการนำหลักฐานข่าวของสื่อมวลชน ร้องต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง คือเลขา กกต. ซึ่งนายทะเบียนจะต้องดำเนินสืบสวนข้อเท็จจริงและสรุปส่ง กกต. เพื่อลงมติส่งศาลรัฐธรรมนูญ ให้มีการวินิจฉัยยุบพรรค
“หากร้องแล้ว นายทะเบียนเพิกเฉย หรือกระทำการโดยเอื้อประโยชน์อย่างไม่สุจริต ก็สามารถร้องคดีอาญา ม. 157 ฐานประพฤติมิชอบได้ หลักฐานจากสื่อมวลชนเพียงพอที่จะเป็นต้นเรื่องแล้ว ส่วนการสอบสวน ตัวนายทะเบียนต้องเรียกทุกฝ่ายมาให้ข้อมูล ทั้งสื่อมวลชน ทั้งรัฐมนตรี หรือแม้กระทั่งนายกรัฐมนตรี”