ปลด“นายสิบ”ร.29 ฉกปืน-กระสุนหน่วย ส่งขายฝั่งเมียนมา
ปลด“นายสิบ”ร.29 ฉกปืน-กระสุนหน่วยขายขบวนการค้าอาวุธสงคราม พร้อมดำเนินคดี ด้าน รองโฆษก ทบ.ยัน พล.ร.9 ไม่ได้ละเว้น สืบค้น-ติดตามก่อน”อัจฉริยะ”ร้องเรียน
4 พ.ย.2464 พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ตามที่ นาย อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้ยื่นหนังสือร้องขอให้กองทัพบก สอบข้อเท็จจริง โดยอ้างว่ากองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ โดยปล่อยให้มีการนำอาวุธสงครามและรถยนต์ที่ผิดกฎหมายข้ามไปยังฝั่งประเทศเมียนมานั้น
กองทัพบก ขอเรียนว่า การกระทำผิดเรื่องอาวุธและรถยนต์ข้ามแดนในพื้นที่ ชายแดนด้านตะวันตกนั้น เป็นเรื่องที่ถูกตรวจพบโดยหน่วยทหารของกองทัพบกที่ปฏิบัติภารกิจป้องกันชายแดน โดยสืบเนื่องจาก การกำกับดูแลของผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 9 ทำให้ทราบข้อมูลด้านการข่าว จึงได้ดำเนินการ สืบค้น ติดตาม ตรวจสอบ จนตรวจพบพฤติการณ์การกระทำผิดในลักษณะดังกล่าว และได้รายงานให้กองทัพบกทราบ
พร้อมทั้งได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อดำเนินการต่อผู้ที่กระทำผิดตามระเบียบของทางราชการ ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนของคณะกรรมการ หากปรากฎความผิดจะถูกดำเนินการทั้งทางวินัยและทางอาญา และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่กองพลทหารราบที่ 9 ตรวจพบข้อเท็จจริงก่อนหน้าที่จะมีการร้องเรียน
มีรายงานว่า สำหรับกำลังพลที่ลักลอบนำอาวุธ กระสุนปืน ไปขายให้ขบวนการค้าอาวุธสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นทหารยศนายสิบ สังกัดกรมทหารราบที่ 29 (ร.29) ปัจจุบันได้ลงโทษทางวินัยด้วยการปลดออกจากราชการและได้มีการแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมได้สืบสวนติดตามนำอาวุธทั้งหมดกลับคืนมาได้แล้ว โดยเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นเมื่อสามเดือนที่ผ่านมา มีการรายงานการความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าวให้กองทัพบกทราบเป็นระยะ.
สำหรับกรณีที่ร้องเรียนว่าหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่แนวชายแดน ปล่อยปละละเลย หรืออาจมีส่วนรู้เห็นในการลักลอบส่งออกรถจักรยานยนต์ผิดกฎหมายจำนวนมาก ข้ามไปขายประเทศเพื่อนบ้านนั้น
แหล่งข่าว กล่าวว่า ห้วงที่ผ่านมามีการจับกุมผู้ลักลอบนำรถเถื่อนได้8 คันบริเวณสันแดน ไม่ใช่การขนย้ายทางน้ำ ตามภาพที่ผู้ร้องเรียนกล่าวอ้าง คาดว่าน่าจะเป็นภาพถ่ายจากจุดอื่น
อย่างไรก็ตามขณะนี้เป็นช่วงที่หน่วยเฉพาะกิจลาดหญ้า และหน่วยเฉพาะกิจจงอางศึก รับผิดชอบในพื้นที่ดังกล่าว ออกลาดตระเวน หาข่าว สกัดกั้นแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายอย่างเข้มข้น ตั้งแต่ 1 ตุลาคม ถึงปัจจุบันสามารถจับกุมได้กว่า 1,000 คน โดยวันที่ 1-3 พ.ย.จะบกุมได้เกือบ 200 คน ซึ่งขบวนการผิดกฎหมายเสียประโยชน์เป็นอย่างมาก