“เจษฎ์”ชี้คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญจุดไฟม็อบชุมนุมลุกลาม
“เจษฎ์”ชี้คำวินิจฉัยศาลรธน.จุดไฟม็อบชุมนุมลุกลาม ฟันธงฝั่งผู้ร้องยื่นร้องเพิ่มหลายเรื่องที่เกี่ยวข้อง ระบุพรรคก้าวไกลเสี่ยงถูกร้องยุบพรรค
จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยว่าการปราศรัยและการกระทำของผู้ถูกร้องที่ 1, 2 และ 3 (นายอานนท์ นำภา นายภาณุพงศ์ จาดนอก และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล 3 แกนนำกลุ่มราษฎร) เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 49 จึงมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องที่ 1, 2 และ 3 รวมทั้งองค์กรเครือข่ายเลิกการกระทำดังกล่าวที่จะมีขึ้นต่อไป
รศ.ดร.เจษฎ์ โทณวณิก ประธานคณะนิติศาสตร์ วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย ให้สัมภาษณ์ “คมชัดลึก” ว่า ส่วนตัวมองว่าการชุมนุมอาจลุกลามบานปลาย หลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ฝั่งผู้ร้องก็คงจะมีคนที่ร้องในอีกหลาย ๆ เรื่อง และนำไปเชื่อมโยงกับกฎหมายอาญาด้วย ฝั่งผู้ถูกร้องก็คงจะดื้อ ไม่ฟัง ชุมนุมต่อไป และอาจจะลุกลามบานปลายต่อ
สำหรับรัฐบาลและรัฐสภาก็คงทำอะไรลำบาก จะหยิบยกข้อเสนอทั้ง 10 ข้อไปดำเนินการเป็นประการใด ก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากว่าข้อเสนอทั้ง 10 ข้อได้ถูกวินิจฉัยโดยศาลรัฐธรรมนูญว่าเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐบาล และรัฐสภาอาจจะต้องเสนอให้มีการดำเนินการในเรื่องของการทำความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยการสานเสวนา ซึ่งอาจจะไม่สามารถทำได้กับกลุ่มที่คิดเห็นตรงข้ามรุนแรงจริง ๆ อาจจะทำได้กับกลุ่มโดยรวมของสังคม
รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าวต่อว่า ส่วนการสร้างสถานการณ์รุนแรงคงจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง คงจะมีมากขึ้นอีกเพื่อต่อสู้กับข้อวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีแนวโน้มว่าจะมีเด็กและเยาวชนเข้าร่วมเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะเสมอไป เพราะว่าหากรัฐบาลรัฐสภามีวิถีทางใดที่จะสามารถพูดคุยทำความเข้าใจกับบรรดาคนที่ ไม่รุนแรงได้ อาจจะทอนกำลังของความรุนแรง หรือฝ่ายที่ต้องการผลักดันให้มีการปฏิรูปสถาบันในแบบ ในแนวที่ตัวเองต้องการลงได้บ้าง
“ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยให้ทุกฝ่ายหยุดการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 49 การสั่งให้ทุกคนหยุดกระทำการนั้น จะเป็นไปได้อย่างไร เข้าใจว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้บรรดาผู้ถูกร้องและเครือข่าย หยุดการกระทำ ถือว่าการกระทำเช่นว่าไม่ว่าใครทำ ก็ถือว่าเป็นการล้มล้างระบอบ ถือเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อการล้มล้าง”
รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าวต่อว่า ซึ่งแน่นอนไม่สามารถไปบอกให้ใครหยุดได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก การมีกฎหมายอาญาทั่วโลก บัญญัติว่าการฆ่าคน เป็นความผิด ก็ไม่ได้จะสามารถระงับยับยั้งการฆ่าได้หมดสิ้น ฉันใดก็ฉันนั้น คงต้องดำเนินการเป็นเปลาะ ๆ ไป มีการกระทำก็ต้องมีการดำเนินการต่อการกระทำนั้น แล้วทำให้คนโดยรวมไม่ทำผิด ก็เช่นเดียวกันกับเรื่องความผิดและการกำหนดโทษอื่น ๆ ดังที่ยกตัวอย่างเช่น การฆ่าคนตาย
สำหรับแนวโน้มการจะเสนอให้มีการยุบพรรคก้าวไกล ก็อาจจะไปพิจารณาว่าพรรคก้าวไกลนั้นถือว่าเป็นเครือข่ายตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ระบุเรื่องของเครือข่ายไว้หรือไม่ หากเป็นเครือข่ายก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเมื่อพรรคการเมืองไปทำการเช่นเดียวกันกับบรรดาผู้ถูกร้อง เมื่อไปพิจารณาภายใต้ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 ก็เข้าข่ายสามารถยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองได้ ก็ต้องไปพิจารณาดู