ขอ ส.ว.ละประโยชน์ส่วนตัว “ปิยบุตร” นำทีมแจง “ร่าง รธน.” รื้อ “ระบอบประยุทธ์”
“ปิยบุตร-ไอติม” นำทีมแจง “ร่าง รธน.” ภาคประชาชน “รื้อระบอบประยุทธ์” ต่อรัฐสภา โละวุฒิสภาตั้ง “สภาเดี่ยว” หวังทุกฝ่ายให้ผ่านในวาระแรก ยันไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ให้ผ่าน ยังคุยต่อได้ชั้นแปรญัตติ วอน ส.ว. ละผลประโยชน์ส่วนตัว ยังมีสนามอื่นให้ลงอีกมาก ไม่หมดอนาคตแน่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2564 ที่รัฐสภา กลุ่ม Re-Solution ในฐานะผู้ริเริ่มเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญภาคประชาชน “รื้อระบอบประยุทธ์” ที่มีการเข้าชื่อกว่า 150,291 รายชื่อ (ผ่านการตรวจรายชื่อ 135,247 รายชื่อ) นำโดย นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า, นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สมาชิกกลุ่มรัฐธรรมนูญก้าวหน้า, นายณัชปกร นามเมือง จากกลุ่ม iLaw, นางสาวชลธิชา แจ้งเร็ว นักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชน และนายเอกรินทร์ ต่วนศิริ ได้เดินทางมาเป็นผู้ชี้แจงนำเสนอ และตอบข้อซักถามของสภาผู้แทนราษฎร ในโอกาสที่จะมีการประชุมร่วมของรัฐสภาในการพิจารณารับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว
โดยก่อนการขึ้นชี้แจง นายปิยบุตร กล่าวว่า วันนี้ตนกลับมาที่สภาอีกครั้ง ในฐานะผู้แทนของประชาชน 135,247 คนซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งและร่วมการเข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม “รื้อระบอบประยุทธ์” มีเนื้อหาสำคัญใน 4 ประเด็น ได้แก่ 1) การยกเลิกวุฒิสภา ให้ประเทศไทยใช้ระบบสภาเดี่ยว 2) ปฏิรูปที่มา อำนาจหน้าที่ และการตรวจสอบถ่วงดุลศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ 3) ยกเลิกแผนยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ และ 4) ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 และป้องกันการรัฐประหารที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต คาดหวังว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะให้ความเห็นชอบ เพราะร่างฯนี้เนื้อหาทั้งหมดจะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งสิ้น และก็จะได้ปลดโซ่ตรวนจากการรัฐประหารปี 2557 ป้องกันการรัฐประหารที่เกิดขึ้นในอนาคตด้วย
นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า ในส่วนของสมาชิกวุฒิสภา ตนเข้าใจดีว่าอาจจะเป็นเรื่องยากลำบาก แต่เชื่อว่าคงจะมีวุฒิสภาที่ตระหนักถึงประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก และวุฒิสภาเองก็มีความไม่ชอบธรรมมาต่อเนื่องยาวนานแล้ว นี่คือโอกาสสำคัญที่ ส.ว.จะช่วยกันลงมติเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน อยากฝากพี่น้องประชาชนให้ติดตามและฟังเหตุผลของพวกเรามาในฐานะผู้ชี้แจง รับฟังเหตุผลของเพื่อนสมาชิกทั้ง ส.ส.และ ส.ว. แล้วลองชั่งน้ำหนักดูว่าเหตุผลของใครดีกว่ากัน แม้เราจะพอทราบว่าแต่ละฝ่ายจะมีการลงมติไปในทิศทางใด แต่ตนยืนยันว่านี่เป็นเพียงชั้นรับหลักการในวาระที่หนึ่งเท่านั้น หาก ส.ส.และ ส.ว. ยังติดขัดในรายละเอียดประการใด ก็ยังมีโอกาสในวาระที่สองที่จะการแปรญัตติรายมาตรา และยังมีโอกาสให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบอีกครั้งหนึ่งในวาระที่สาม และถ้าผ่านไปได้ก็ยังต้องไปผ่านการออกเสียงประชามติอยู่ดี ตนจึงขอให้ทุกฝ่ายยอมรับหลักการของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ร่วมกัน ให้ความสำคัญกับเสียงของประชาชน
“ผมไม่เห็นเหตุผลอะไรอื่นเลยที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาจะไม่รับหลักการครั้งนี้ ควรจะรับไปก่อนแล้วค่อยมาพิจารณาถกเถียงในประเด็นต่าง ๆ ได้ต่อไป เพราะอย่างน้อยที่สุดการลงมติรับหลักการก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าสมาชิกรัฐสภา ให้ความสำคัญกับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่พี่น้องประชาชนเป็นคนเข้าชื่อกันมา” นายปิยบุตร กล่าว
ส่วนนายพริษฐ์ กล่าวว่า ภาพรวมของกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา เราเห็นความตื่นตัวของประชาชนมากขึ้น หลายคนเห็นถึงปัญหาของรัฐธรรมนูญ 2560 ทั้งที่มา กระบวนการ และเนื้อหาที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจของระบอบประยุทธ์ ผ่านสถาบันทางการเมืองที่มีการเพิ่มอำนาจเข้ามาและสามารถควบคุมไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ร่างแก้ไขธรรมนูญรายมาตราฉบับนี้ตนขอเปรียบเหมือนวัคซีนแก้โควิด เป็นเพียงแค่เข็มแรกที่ไม่ได้มุ่งเป้าแก้ปัญหาทุกอย่างได้ทั้งหมด แต่ต้องเป็นการแก้มาตราที่เป็นปัญหามากที่สุดก่อน นั่นคือกลไกที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกวุฒิสภา การปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ การยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี การลบล้างผลพวงรัฐประหาร และถึงแม้ฉบับนี้จะผ่านไปได้ เราก็ต้องตามมาด้วยเข็มที่สอง นั่นคือการร่างทั้งฉบับใหม่ โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด
นายพริษฐ์ กล่าวอีกว่า เข้าใจว่าวันนี้เราจะได้เห็นความพยายามของสมาชิกหลายคน ที่พยายามจะวาดภาพให้ร่างแก้ไขฉบับนี้เป็นร่างที่น่ากลัวสุดโต่ง แต่ตนขอยืนยันว่าร่างฯนี้ไม่มีอะไรที่ซับซ้อน เป็นเพียงการสร้างระบบการเมืองที่เป็นกลาง ที่ไว้ใจประชาชน ที่ทำให้กติกาเป็นธรรม ที่ประชาชนทุกคนมีหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงในการกำหนดอนาคตของประเทศ และที่ทุกพรรคการเมืองไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็สามารถแข่งขันกันได้บนกติกาที่เป็นธรรม ไม่ใช่ผูกขาดอำนาจไว้กับฝ่ายการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ส่วนปัญหาในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับระบบเลือกตั้ง ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาไปแล้ว กำลังรอการลงพระปรมาภิไธยอยู่ ณ ปัจจุบัน ว่าจะมีความขัดแย้งกันหรือไม่นั้น นายปิยบุตร กล่าวว่า ร่างฯที่เรานำเสนอนี้ไม่ได้เข้าไปแตะต้องระบบเลือกตั้งตั้งแต่แรก เพราะเรามองว่าเรื่องมีส่วนได้เสียกันระหว่างพรรคการเมืองต่าง ๆ จึงควรเปิดให้สภาร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองใดเลยมาออกแบบแทน และระหว่างการรณรงค์รวบรวมรายชื่อ ก็เป็นเวลาเดียวกับที่มีการแก้รัฐธรรมนูญในเรื่องระบบเลือกตั้งในรัฐสภาอยู่ จึงทำให้เนื้อหาเกิดความไม่ตรงกัน โดยตนเห็นต่างจากนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่เหมือนกับรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 และ 2550 ที่เขียนเกี่ยวกับพระราชอำนาจในการยับยั้งร่างกฎหมายและร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเอาไว้ โดยในกรณีของรัฐธรรมนูญ 2560 ให้พระราชอำนาจในการยับยั้งเฉพาะร่างพระราชบัญญัติใหม่ รวมถึงร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม
นายปิยบุตร กล่าวด้วยว่า ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ที่จำเป็นจะต้องถวายคำแนะนำในส่วนนี้ ว่าพระมหากษัตริย์ไม่ทรงมีพระราชอำนาจในการยับยั้ง จะต้องทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเท่านั้น แต่ในเมื่อนายกรัฐมนตรีไม่ทำหน้าที่แบบนี้ เราก็ยังไม่ทราบว่าการลงพระปรมาภิธัยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขณะเดียวกันร่างของเราก็ยังอยู่ในชั้นรับหลักการ ดังนั้น ตนเชื่อว่าถ้าวันนี้ผ่านไปก่อน ก็ยังมีโอกาสแก้ไขเปลี่ยนแปลงกันอีกในวาระที่สองและวาระที่สามต่อไป
ส่วนความเป็นไปได้ที่ ส.ว.จะลงมติรับหลักการไม่ถึง 1 ใน 3 นายปิยบุตร กล่าวว่า ทุกครั้งที่มีการเสนอแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะผ่าน ส.ส. คณะมนตรีผลักดัน หรือประชาชนเข้าชื่อก็ตาม เราจะพบกับคำถามนี้ทุกครั้ง ว่า ส.ว.จะให้ผ่านหรือไม่ คำถามเช่นนี้เอง ที่สะท้อนให้เห็นถึงความผิดตลาดในระบบรัฐธรรมนูญไทย ที่ทำให้การแก้รัฐธรรมนูญทุกครั้งต้องถาม ส.ว.ก่อนว่าจะให้ผ่านหรือไม่ กลายเป็นว่า ส.ว.เพียงไม่ถึงหนึ่งร้อยคนสามารถสกัดขัดขวางการแก้รัฐธรรมนูญได้เสมอ แต่ ตนยังมีความเชื่อมั่นว่าจะยังมีสมาชิกวุฒิสภาที่เห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติและประโยชน์ส่วนรวมอยู่ หากสมาชิกวุฒิสภาต้องการมีบทบาททางการเมืองต่อไปก็ยังมีช่องทางหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งในระดับต่าง ๆ หรือกระทั่งวันข้างหน้าจะเข้ามาดำรงตำแหน่งในองค์กรต่าง ๆ อีกก็ย่อมได้ ตนจึงขอเรียกร้อง ส.ว.ว่าไม่ควรเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนไปมากกว่านี้อีกแล้ว
“ในเมื่อที่มาของคุณไม่ชอบธรรม ผมคิดว่าเสียสละลงมติยุบวุฒิสภาทิ้งไปเถอะ แล้วเข้ามาสู่ระบบปกติ อย่าปล่อยให้วุฒิสภาแบบนี้ดำรงอยู่ต่อไป หลายท่านบอกว่าคงจะยาก แต่ผมก็ยังมีความคาดหวัง แล้วก็ถ้าพี่น้องประชาชนช่วยกันส่งเสียง อย่างน้อยที่สุดวุฒิสภาก็คงจะต้องฟังประชาชนบ้าง ให้สมกับที่รัฐธรรมนูญเขียนเอาไว้ว่าวุฒิสภานั้นเป็นหนึ่งในผู้แทนของปวงชนชาวไทยด้วย” นายปิยบุตร กล่าว