รัฐตั้ง ศบค.ท่องเที่ยว ดันปี 65 ส่งเสริมท่องเที่ยวไทยเป้ารายได้ 1.5 ล้านล้าน
ครม.สัญจรกระบี่ ประกาศปี 2565 เป็นปีส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย Visit Thailand Year 2022 : Amazing New Chapters ตั้ง ศบค.ท่องเที่ยว แก้อุปสรรคการเดินทางเข้าประเทศ “ยุทธศักดิ์” วางเป้าสร้างรายได้ถึง 1.5 ล้านล้าน ปรับแผนการตลาดดึงเที่ยวบินระหว่างประเทศ50% และในประเทศ 70%
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่าตามนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย และประกาศความพร้อมของประเทศไทยในการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ นอกสถานที่จังหวัดกระบี่ (ครม.สัญจร)ได้เห็นชอบตามข้อเสนอกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาให้ปี 2565 เป็น "ปีส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย" โดยจะทำการตลาดในแคมเปญ "Visit Thailand Year 2022 : Amazing New Chapters" โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)กำหนดจัดงานส่งเสริมกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยว
โดยมีเป้าหมายสำคัญในการกระจายรายได้ไปยังภูมิภาค 5 แห่ง ประกอบด้วย ภูเก็ต พัทยา นครราชสีมา เชียงใหม่ และพระนครศรีอยุธยา เน้นการแสดงโดยศิลปินพื้นบ้าน คนกลางคืน ศิลปินดารา นักร้องชาวไทย โดยมีแขกรับเชิญที่มีชื่อเสียงวงกว้างจากต่างประเทศ โดยค่าใช้จ่ายจะนำมาจากงบประมาณภาครัฐและเอกชนร่วมกัน
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยว่า หลังจากรัฐบาลเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา แนวโน้มการท่องเที่ยวของประเทศจะปรับตัวในทิศทางดีขึ้นเรื่อยๆ และในปี 2564 จะเป็นปีที่จำนวนและรายได้จากการท่องเที่ยวต่ำที่สุด จากนี้ไปจะเป็นการเริ่มกลับขึ้นมา ส่วนจะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
"ภายหลังการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.เป็นต้นมาได้มีกระแสตอบรับดี โดยล่าสุดสายการบินเอมิเรตส์ ประกาศเปลี่ยนตัวเครื่องบินเส้นทางกรุงเทพ-ดูไบ และดูไบ-กรุงเทพ จากเครื่องโบอิง 777 ซึ่งรองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 200 คนต่อเที่ยวบิน มาเป็นเครื่องแอร์บัส A380 ที่รองรับผู้โดยสารได้ 500 คน จึงเห็นว่ามีดีมานด์ของนักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้าไทยอีกมาก"
อย่างไรก็ตามกุญแจที่นำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายของ ททท.ที่ในปี 2565 จะต้องสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้ได้ 50%ของปี 2562 โดยมีเป้าหมายในการสร้างรายได้ 1.5 ล้านล้านบาท และในปี 2566 ต้องให้ได้ 80% ของปี 2562 ในช่วงก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด หรือเท่ากับรายได้ประมาณ 2.4 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ในเรื่องของการอำนวยความสะดวกในการเดินทางของนักท่องเที่ยว หรือ "Ease of Travelling" ที่จะต้องทำให้นักท่องเที่ยวมีความสะดวกในการเข้าประเทศตามมาตรฐานความปลอดภัยจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. เมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา จึงเห็นชอบให้มีการจัดตั้ง "ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านท่องเที่ยวและกีฬา" หรือ "ศปก.กก." โดยมีปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นหัวหน้าศูนย์ เพื่อแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางทั้งหมดให้กับนักท่องเที่ยวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าประเทศไทย
“ตอนนี้อุปสรรคการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวไทยคือ เงื่อนไขในการเดินทางเข้าแต่ละจังหวัดไม่เหมือนกัน ลองไปที่สนามบินสุวรรณภูมิจะเห็น QR CODE ของแต่ละจังหวัดให้สแกนเยอะแยะไปหมด บางจังหวัดมีเงื่อนไขต้องฉีดวัคซีน บางจังหวัดต้องมีเอกสารการตรวจหาเชื้อโควิด ทำให้คนเดินทางสับสน จึงต้องปลดล็อกอุปสรรคเหล่านี้ให้ลดลงมากที่สุด เช่น การมอบให้เป็นความรับผิดชอบของสายการบินในการตรวจสอบข้อมูลตั้งแต่ที่มีการเช็คอิน เมื่อผ่านตรงนี้แล้วจุดอื่นก็ไม่ต้องไปตรวจซ้ำอีก”
นายยุทธศักดิ์ กล่าวต่อว่า ททท.จะทบทวนแผนการทำการตลาดในปี 2565 ใหม่ เนื่องจากเป็นการเริ่มต้นการเปิดประเทศใหม่ ภายใต้การถูกตัดงบการตลาดลง 40% จึงได้มอบหมาย ททท.สำนักงานในประเทศ ไปส่งเสริมให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว เพื่อให้โรงแรมที่กลับมาเปิดกิจการแล้วมีอัตราการเข้าพักไม่ต่ำกว่า 50% จากที่ผ่านมาอยู่ที่ 0-30%
และต้องไปหาทางให้ทุกสายการบินในประเทศไทย กลับมาบินไม่น้อยกว่า 70% ของเที่ยวบินในปี 2562 และต้องให้มีอัตราบรรทุกผู้โดยสารให้ได้ถึง 70%ของจำนวนที่นั่ง จากปัจจุบันอาจจะอยู่ที่ 50-60% เพราะการที่สายการบินจะอยู่รอดได้ต้องมีอัตราบรรทุกถึง 70% ขณะที่การท่องเที่ยวจะอยู่รอดได้ก็ต้องอาศัยสายการบิน ถ้าสายการบินอยู่ไม่ได้ แล้วใครจะขนนักท่องเที่ยวมาให้
นอกจากนี้ให้ ททท.สำนักงานในประเทศสำรวจจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศที่กลับมาบินเข้าประเทศไทย และให้ถือเป็นเกณฑ์เลยว่า ในเมื่อปี 2565 ททท.ต้องการให้มีรายได้จากการท่องเที่ยวกลับเข้ามา 50% ของปี 2562 ฉะนั้น เที่ยวบินของสายการบินต่างๆ ก็ต้องกลับมาบินให้ได้ครึ่งหนึ่งของปี 2562 และต้องมีอัตราบรรทุกผู้โดยสารให้ได้ 70%
โดยขณะนี้การเดินทางระยะใกล้ยังไม่กลับมา แต่การเดินทางระยะไกลจากยุโรปและอเมริกากลับมาแล้ว จึงต้องให้ความสำคัญกับสายการบินในตะวันออกกลาง ที่เป็นจุดเปลี่ยนเครื่องจึงต้องดึงโรงแรมต่างๆ ทำแพ็คเกจร่วมกับสายการบินเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
รวมทั้งให้ไปดูด้วยว่าขณะนี้มีประเทศใดบ้างที่รับผู้เดินทางออกจากประเทศไทยเข้าไปแล้วไม่ถูกกักตัวบ้าง เพื่อให้ความสำคัญในการทำการตลาดกับประเทศเหล่านี้ โดยในเดือนม.ค.ประเทศกัมพูชา จะเป็นประธานการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ประเทศไทยควรเป็นผู้นำในการนำเสนอการท่องเที่ยวเชื่อมโยงหลายประเทศในอาเซียนให้เกิดเป็นรูปธรรม ให้กลายเป็นแคมเปญใหม่ของประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยรูปแบบจะมีทั้งนักท่องเที่ยวจากประเทศนอกภูมิภาคอาเซียน ที่สามารถเข้ามาเที่ยวในอาเซียนเชื่อมโยง 2 ประเทศ หรือหลายประเทศ
โดยประเด็นสำคัญคือ จะต้องไม่มีการกักตัวในการเข้า และออกประเทศระหว่างกัน เช่น จากไทยไปเวียดนาม หรือจากเวียดนามมาไทย และรวมไปถึงการเดินทางท่องเที่ยวด้วยกันในของนักท่องเที่ยวภายในภูมิภาคอาเซียนด้วย เพราะหลังมีการระบาดของโควิด-19 ทุกประเทศให้ความสำคัญกับการควบคุมการระบาด จึงควรมีความริเริ่มดีๆ เกิดขึ้น
พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์ ศิลาวงษ์