กระทรวงเกษตรฯ โชว์ผลสำเร็จโครงการยกระดับแปลงใหญ่ฯ จ.ประจวบคีรีขันธ์
กระทรวงเกษตรฯ โชว์ผลสำเร็จโครงการยกระดับแปลงใหญ่ฯ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มุ่งเป็นศูนย์กลางของเกษตรกรอำเภอหัวหิน ในด้านการผลิตและการตลาด รวมทั้งเป็นจุดสาธิตเทคโนโลยีการผลิตสับปะรดที่สำคัญของจังหวัด
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดโครงการประชาสัมพันธ์โครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ณ ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) อำเภอหัวหิน หมู่ที่ 11 ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ว่า การดำเนินงานระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ เป็นกลไกการขับเคลื่อนหลักในการพัฒนาภาคการเกษตรของประเทศไทย ซึ่งมุ่งเน้นการรวมกลุ่มของเกษตรกรรายย่อยที่อยู่บริเวณพื้นที่ใกล้เคียงกัน มีความพร้อมจะพัฒนาการผลิตและการตลาดร่วมกันตลอดห่วงโซ่อุปทาน เน้นการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ตามนโยบายการตลาดนำการผลิต โดยการนำหลักเกษตรสมัยใหม่ร่วมกับการเชื่อมโยงตลาด ซึ่งจะก่อให้เกิดความร่วมมือในการผลิต และผลักดันให้เกษตรกรรวมกลุ่มในการผลิต เพื่อมีอำนาจการต่อรองร่วมกันการจัดหาปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพดี ราคาถูก และการใช้เทคโนโลยีการเกษตรที่เหมาะสมผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพสูงเป็นที่ต้องการของตลาด
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลตระหนักและเข้าใจในปัญหาที่พี่น้องเกษตรกรต้องเผชิญอยู่ในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 จึงมีนโยบายให้กระทรวงเกษตรฯ ดำเนินการโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่ และเชื่อมโยงตลาด เพื่อให้เกษตรกรมีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่มีความหลากหลายมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาศักยภาพความเข้มแข็งในการบริหารจัดการแปลงใหญ่ โดยใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมสมัยใหม่ต่อยอด และสร้างโอกาสในการเพิ่มคุณภาพผลผลิต และผลตอบแทนจากการผลิตสินค้าเกษตร ให้พี่น้องเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
"วันนี้ได้มีโอกาสมาดูแลพี่น้องเกษตรกร ทำให้มีความท้าทายที่จะทำอย่างไรให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกรดียิ่งขึ้น ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ได้กำหนดยุทธศาตร์ที่จะนำเกษตรเดินไปข้างหน้า โดยยุทธศาตร์ตลาดนำการผลิต และการนำเทคโนโลยี 4.0 มาใช้ เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต เป็นหนึ่งในยุทธศาตร์สำคัญที่กระทรวงเกษตรฯ ได้นำมาสู่การปฎิบัติ ซึ่งโครงการเกษตรแปลงใหญ่ เป็นโครงการที่รัฐบาลสามารถเข้ามาดูแลพี่น้องเกษตรกรในเรื่องงบประมาณต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย สามารถนำเทคโนโลยีมาสู่พี่น้องเกษตรกร นอกจากนี้ ยังไม่ละทิ้งเกษตรกรรายย่อยด้วย ซึ่งได้มอบนโยบายให้ข้าราชการทุกคนต้องเข้าไปดูแลพี่น้องเกษตรกรเหมือนคนในครอบครัง จึงต้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งกับพี่น้องเกษตรกร เพื่อแก้ปัญหากับพี่น้องเกษตรกรได้จริง ๆ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยต้องปรับเปลี่ยนวิถีการทำการเกษตรใหม่ ต้องทำการเกษตรให้มีคุณภาพมาตรฐาน โดยต้นทุนและราคาจะเป็นตัวกำหนดว่าภาคการเกษตรจะเดินไปข้างหน้าได้อย่างไร จึงอยากฝากถึงพี่น้องเกษตรกรให้เปิดรับความรู้และเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนากระบวนการผลิตให้เพิ่มมากขึ้น โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมจะเข้ามาดูแลและอยู่เคียงข้างกับพี่น้องเกษตรกรทุกคน" ดร.เฉลิมชัย กล่าว
ทั้งนี้ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดำเนินงานโครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ จนถึงปัจจุบัน จำนวน 71 แปลง ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 8 อำเภอ แบ่งเป็น ด้านพืช 56 แปลง ด้านปศุสัตว์ 5 แปลง ด้านประมง 3 แปลง ด้านข้าว 3 แปลง และด้านยางพารา 4 แปลง โดยมีกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่เข้าร่วมโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด จำนวน 19 แปลง สมาชิก 1,408 ราย พื้นที่ 17,839.25 ไร่ ซึ่งอำเภอหัวหิน เป็นแหล่งปลูกสับปะรดที่สำคัญของจังหวัด โดยมีพื้นที่ปลูก 70,495 ไร่ มากที่สุดของจังหวัด โดยเกษตรกรในตำบลหินเหล็กไฟ ได้รวมตัวกันจัดตั้งเป็นกลุ่มแปลงใหญ่สับปะรด ในปี พ.ศ. 2562 มีสมาชิกจำนวน 30 ราย พื้นที่ทั้งหมด จำนวน 385.20 ไร่ เพื่อเป็นศูนย์กลางของเกษตรกรอำเภอหัวหิน ในด้านการผลิตและการตลาด รวมทั้งเป็นจุดสาธิตเทคโนโลยีการผลิตสับปะรด มีการสร้างเครือข่ายกับเกษตรกรพื้นที่ใกล้เคียง ร่วมกันบริหารจัดการ ตั้งแต่การผลิต การแปรรูป การตลาด และคาดว่าจะมีการขยายผลให้เกิดการรวมกลุ่มแปลงใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ทั้งอำเภอต่อไป
ด้าน นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย การแสดงผลงานความสำเร็จของการดำเนินงานโครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ และโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาดของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รวมทั้งตลาดสินค้าเกษตรจากแปลงใหญ่ และสินค้าเกษตรจากตลาดเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อให้เกษตรกร ผู้ที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไป นำไปเป็นแบบอย่างการพัฒนาให้กับกลุ่มแปลงใหญ่อื่น ๆ เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายที่เข้มแข็ง และเกิดพลังในการขับเคลื่อนการปฏิรูปภาคการเกษตรต่อไป