"ชไนเดอร์" หนุนกรีนดาต้าเซ็นเตอร์ ผลักดันโลกดิจิทัลโตอย่างยั่งยืน
"ชไนเดอร์ อิเล็คทริค" หนุนกรีนดาต้าเซ็นเตอร์รับเทรนด์เศรษฐกิจดิจิทัลโต พร้อมมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจสู่เป้าหมายความยั่งยืน
หากพูดถึงเมกะเทรนด์โลกที่น่าจับตา คงหนีไม่พ้น 2 เรื่องหลักคือ การเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัล (Digital Transformation) และความยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งเป็นเทรนด์ที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน ทั้งยังเป็นความท้าทายในการผลักดันทั้งสองเรื่องไปพร้อมๆ กันด้วย โดย "ชไนเดอร์ อิเล็คทริค" ผู้ให้บริการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน การจัดการพลังงาน และระบบออโตเมชัน ถือเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่จะช่วยประสานให้เกิดการขับเคลื่อนเมกะเทรนด์โลก
ปานกาจ ชาร์มา รองประธานบริหาร ธุรกิจ Secure Power ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าวว่า ตลาด ดาต้าเซ็นเตอร์ ในระดับโลกมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ด้วยเทรนด์การเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลที่กำลังเกิดขึ้นในทุกภาคส่วน โดยมีการระบาดของโควิด-19 เป็นตัวเร่งการเปลี่ยนผ่านให้เร็วขึ้นถึง 5 ปี เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่กดดันให้ผู้บริโภคต้องหันมาใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการดำเนินชีวิตมากขึ้น อาทิ การทำงานจากที่ไหนก็ได้ การดูหนัง และความบันเทิงออนไลน์อื่นๆ ขณะเดียวกัน สำหรับภาคธุรกิจได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างบล็อกเชนและเมตาเวิร์ส รวมถึงการปรับตัวของอุตสาหกรรมการผลิตและซัพพลายเชนเข้าสู่ระบบดิจิทัลและออโตเมชัน ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวข้างต้น มีความต้องการใช้ข้อมูลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และจะทำให้ธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์เกิดขึ้นใหม่อีกเป็นจำนวนมาก โดยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถือเป็นตลาดที่ธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์มีอัตราการขยายตัวโดดเด่นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะตลาดในไทยที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจาก เศรษฐกิจดิจิทัล เติบโตได้ดีจากดีมานด์ของบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนตั้งสำนักงานภูมิภาคในประเทศ อาทิ AWS, Alibaba และ Tencent รวมไปถึงความต้องการภายในประเทศจากหลายอุตสาหกรรม ทั้งภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม หรือผู้บริโภคเองก็ตาม อีกทั้งประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการใช้อินเทอร์เน็ตสูงมาก
ปานกาจ กล่าวต่อว่า การเติบโตด้านดิจิทัล ก้าวกระโดดในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้คาดการณ์หรือเตรียมการล่วงหน้า ทำให้ทิศทางการขยายตัวของธุรกิจ ดาต้าเซ็นเตอร์ ยังไม่ชัดเจนและมีข้อจำกัด ยิ่งเมื่อความต้องการใช้งานดาต้าเซ็นเตอร์ในตลาดมีมากจนล้นและทำให้เกิดการขาดแคลนดาต้าเซ็นเตอร์ที่ใช้งานเพียงพอ โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะการแย่งชิงชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไปยังอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ทั้งนี้ ในท้ายที่สุดอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์จะขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายความยั่งยืน
"การทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัลจะเป็นเทรนด์ที่มีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก แม้สถานการณ์ในปี 2023 อาจต้องเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอย ซึ่งธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ จะเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมดาวรุ่งท่ามกลางความไม่แน่นอนเหล่านั้น เนื่องจากความต้องการของข้อมูลจะมีแต่เพิ่มขึ้น"
รองประธานบริหาร ธุรกิจ Secure Power ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้พัฒนาตัวชี้วัดมาตรฐานเพี่อการวางแผนสำหรับการพัฒนาประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้
- พลังงาน ดาต้าเซ็นเตอร์ ใช้พลังงานในปริมาณมหาศาล การปรับปรุงประสิทธิภาพด้านพลังงานจึงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมลพิษทางอากาศ
- การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดาต้าเซ็นเตอร์ สร้างก๊าซเรือนกระจกจากพลังงานที่ซื้อมา รวมถึงกิจกรรมที่ไซต์งาน และจากส่วนประกอบในอุปกรณ์และวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง ผู้ประกอบการ ดาต้าเซ็นเตอร์ ทุกรายต้องสามารถบอกปริมาณและรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้ให้ได้ เพื่อหาโอกาสในการลดการปล่อยก๊าซดังกล่าว
- น้ำ ดาต้าเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิม ต้องใช้น้ำทำความเย็นในระบบ ซึ่งประเมินการใช้น้ำแต่ละปีอยู่ที่ 25 ล้านลิตรสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดเล็ก 1 เมกะวัตต์ (MW) ระบบทำความเย็นเป็นแค่หนึ่งในฟังก์ชันของดาต้าเซ็นเตอร์ที่ใช้น้ำ โดยตัวชี้วัดแบบใหม่จะช่วยให้ผู้ดำเนินงานสามารถวัดการใช้น้ำและระบุเพื่อหาเทคโนโลยีใหม่ที่จะช่วยลดการใช้น้ำให้ได้มาก
- ของเสีย ผู้ประกอบการดาต้าเซ็นเตอร์ ต้องวัดและบริหารจัดการเรื่องของเสียที่ส่งผลกระทบต่อวงจรชีวิตของดาต้าเซ็นเตอร์ อีกทั้งนำแนวทางปฏิบัติด้าน เศรษฐกิจหมุนเวียน มาใช้ เพื่อลดของเสียทั่วซัพพลายเชน
- พื้นที่และความหลากหลายทางชีวภาพ การสร้างและดำเนินการดาต้าเซ็นเตอร์ สามารถส่งผลกระทบต่อดิน น้ำ และอากาศ ดังนั้นอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ จึงควรวัดผลกระทบเหล่านี้ เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศที่อยู่รอบๆ รวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพที่มีการพึ่งพากัน
ทั้งหมดที่กล่าวมา จึงตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในการดำเนินงานเพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจพร้อมกับขับเคลื่อนความยั่งยืนให้โลกและองค์กรควบคู่กันไป
ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับ Data Centers Of The Future คลิกที่นี่