เปิดคำศัพท์ที่ควรรู้ เกี่ยวกับ 'ก๊าซธรรมชาติ'

เปิดคำศัพท์ที่ควรรู้ เกี่ยวกับ 'ก๊าซธรรมชาติ'

เปิดศัพท์วุ่นๆ ในวงการปิโตรเลียม พร้อมไขข้อสงสัย ทำไมก๊าซที่เราใช้หรือเห็นกันในชีวิตประจำวัน มีชื่อเรียกที่แตกต่างกันทั้งๆ ที่ออกมาจากแหล่งผลิตเดียวกัน หาคำตอบได้จากบทความนี้

"ก๊าซธรรมชาติ" มีนิยามศัพท์ที่เกี่ยวข้องมากมาย โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas หรือ NG) คือ ปิโตรเลียมที่พบตามธรรมชาติ ที่อยู่ในสถานะก๊าซ มีส่วนผสมหลักคือ ก๊าซไฮโดรคาร์บอน (มีองค์ประกอบของคาร์บอน (C) และไฮโดรเจน (H)) และมีสิ่งเจือปนเล็กน้อย 

อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจจะสงสัยว่าก๊าซที่เราใช้หรือเห็นกันในชีวิตประจำวัน ทำไมมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไปทั้งๆ ที่ออกมาจากแหล่งผลิตเดียวกัน วันนี้ "กรุงเทพธุรกิจ" จึงได้รวบรวมคำศัพท์มาอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น

เริ่มที่ LPG  (Liquefied  Petroleum Gas) "ก๊าซแอลพีจี" หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อ "ก๊าซหุงต้ม" เป็นปิโตรเลียมเหลว ที่ประกอบด้วยก๊าซโพรเพนและก๊าซบิวเทน ซึ่งเป็นก๊าซที่ได้มาจากกระบวนการแยกก๊าซธรรมชาติจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ หรือจากการกลั่นน้ำมันดิบจากโรงกลั่นน้ำมัน แล้วถูกทำให้เป็นของเหลว ใช้เป็นเชื้อเพลิงในครัวเรือน รถยนต์ และโรงงานอุตสาหกรรม 

ขณะที่ LNG (Liquefied Natural Gas) หรือ "ก๊าซธรรมชาติเหลว" ถือเป็นก๊าซธรรมชาติที่ถูกทำให้อยู่ในรูปของเหลวโดยแปรสภาพ "ก๊าซมีเทน" ด้วยการลดอุณหภูมิลงมาที่ -160 องศาเซลเซียส และทำให้มีปริมาตรลดลงประมาณ 600 เท่า เพื่อประโยชน์ในการขนส่งไปใช้ในที่ไกลจากแหล่งผลิต

เปิดคำศัพท์ที่ควรรู้ เกี่ยวกับ \'ก๊าซธรรมชาติ\'

ส่วน NGV (Natural Gas for Vehicle) หรือ "ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์" และ CNG (Compressed Natural Gas) หรือ "ก๊าซธรรมชาติอัด" เป็นการนำเอาก๊าซธรรมชาติที่มีองค์ประกอบหลักคือ ก๊าซมีเทน มาเพิ่มความดันประมาณ 200 บาร์ ก่อนเติมลงถังก๊าซเพื่อให้บรรจุได้ปริมาณมากสำหรับนำไปใช้ในรถยนต์   

ก๊าซธรรมชาติรูปแบบสุดท้ายที่จะแนะนำในวันนี้ คือ NGL (Natural Gas Liquid) หรือ "ก๊าซโซลีนธรรมชาติ" ถือเป็นส่วนผสมของไฮโดรคาร์บอนที่อยู่ในรูปของเหลว โดยมีองค์ประกอบตั้งแต่เพนเทนเป็นต้นไป สามารถนำมากลั่นเป็นน้ำมันเบนซินและใช้ประโยชน์เป็นวัตถุดิบในโรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้ 

ในส่วนของการวัด ก๊าซธรรมชาติ ในรูปแบบต่างๆ เราสื่อสารโดยใช้ "หน่วยวัดก๊าซธรรมชาติ" เป็นเครื่องมือ โดยสามารถวัดได้ทั้งเป็นปริมาตรและค่าความร้อน ซึ่งการวัดค่าความร้อนเป็นการบอกปริมาณพลังงานความร้อนที่ได้รับจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง ก๊าซที่มีค่าความร้อนมาก จัดเป็นก๊าซที่มีประสิทธิภาพในการเป็นเชื้อเพลิงสูง

เปิดคำศัพท์ที่ควรรู้ เกี่ยวกับ \'ก๊าซธรรมชาติ\'

สำหรับหน่วยวัดค่าความร้อน มีหน่วยที่นิยมใช้อย่างสากล เช่น kcal (kilo calories)  = กิโลแคลอรี, kBtu (kilo British thermal unit) = กิโลบีทียู, MJ (Megajoule) = เมกะจูล และ MMBtu (Million British thermal unit) = ล้านบีทียู 

ในขณะที่หน่วยวัดปริมาตร มีสำหรับการวัดแบบปริมาตรคงที่และแบบปริมาตรต่อช่วงเวลา เช่น scf (Standard cubic feet) = ลูกบาศก์ฟุตมาตรฐาน, BCF (Billion standard cubic feet) = พันล้านลูกบาศก์ฟุต, MMSCFD (Million standard cubic feet per day) = ล้านลูกบาศก์ฟุตมาตรฐานต่อวัน และ BCM (Billion cubic metres) = พันล้านลูกบาศก์เมตร และเราสามารถวัดมวลของก๊าซธรรมชาติได้ด้วยหน่วย MTPA (Million Tonne per Annum) = ล้านตันต่อปี

นอกจากนี้ ในการวัด ก๊าซธรรมชาติ ยังสามารถเปรียบเทียบกับปริมาณของน้ำมันได้ด้วย โดยใช้หน่วย เช่น toe (Tonne of oil equivalent) หรือตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ นั่นคือปริมาณของก๊าซธรรมชาติเป็นหน่วยลูกบาศก์ฟุตที่ให้พลังงานเท่ากับน้ำมัน 1 ตัน มีประโยชน์ในการสื่อสาร และรายงานค่าต่าง ๆ เช่น ปริมาณสำรอง ปริมาณที่ใช้เป็นวัตถุดิบ ปริมาณที่ซื้อขาย เนื่องจากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมักเกิดร่วมกันและถูกนำไปใช้ประโยชน์ควบคู่กัน 

เปิดคำศัพท์ที่ควรรู้ เกี่ยวกับ \'ก๊าซธรรมชาติ\'